วันที่ 24 มีนาคม 2563 ช่วงบ่ายที่ผ่านมา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงการณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) จาก พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 มีผลบังคับใช้ 26 มีนาคม 2563 นี้

โดยนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลได้พิจารณามาโดยตลอด เรื่องการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ของ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 สำหรับควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะมีผลบังคับใช้มะรืนนี้ วันที่ 26 มีนาคม 2563 (นับจากวันที่แถลงการณ์ในวันที่ 24 มีนาคม 2563) วันนี้ได้หารือในมาตราการณ์อื่นๆ ที่จำเป็นแล้ว สิ่งสำคัญคือการจัดระเบียบการทำงาน ด้วยการยกระดับศูนย์โควิด ให้เป็นศูนย์ฉุกเฉินในเรื่องการแก้ไขปัญหาโควิด หรือเรียก ศอฉ. โควิด โดยจะมีทีมคณะทำงาน ปลัดกระทรวงของแต่ละภารกิจนั้นๆ เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งการติดตามมาตรการที่ประกาศออกไปแล้วเดิม อาจจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข และอาจมีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้ ศอฉ. โดยนายกฯ เป็นผู้อนุมัติ เพราะอำนาจกฏหมายทั้งหมดจะมาอยู่ที่นายกรัฐมนตรีแล้ว โดยจะมีการประชุมทุกวัน ในเวลา 09.30 น. หัวหน้าส่วนทั้งหมดจะนำเสนอรายงานกันให้ทราบ ส่วนที่เพิ่มเติมก็จะประกาศออกไป เป็นข้อกำหนดที่เพิ่มเติม ส่วนข้อกำหนดเมื่อมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน สาระสำคัญคือการจัดตั้งผู้รับผิดชอบภายในศูนย์เรื่องการบริหารงานกันอย่างไร ประเด็นสำคัญคือข้อกำหนดอย่างที่ทุกคนอยากจะทราบว่ามีอะไรบ้างนั้น ซึ่งข้อกำหนดสามารถออกได้ตลอดเวลาทุกวัน และที่จะประกาศในวันมะรืนนี้ (26 มี.ค 63) คือทำอย่างไรในการลดการแพร่ระบาดในพื้นที่ต่างๆ เป็นการขอความร่วมมือ และมีการบังคับบ้าง ในส่วนที่จะปิดหรือเปิดสถานที่ส่วนใหนอย่างไรอีกบ้างนั้น จะเป็นมาตรการระยะต่อไปที่จะเข้มงวดขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชน นายกฯ กล่าวว่าไม่ได้อยากให้ประชาชนเดือดร้อน แต่เป็นสถานการณ์ที่มีความจำเป็นต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวม

รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ที่จะดูแลสุขภาพของประชาชนโดยรวมให้ได้มากที่สุด มาตรการต่างๆ ที่ได้ออกไปแล้วนั้น อยากขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือด้วย และสำคัญขอให้อย่าเพิ่งเดินทางกลับภูมิลำเนาของตัวเองขณะนี้ หากจะต้องกลับก็เป็นเรื่องที่จะต้องเจอมาตรการต่างๆ ของการคัดกรอง การตรวจสอบระหว่างทางต่างๆ ที่จะเป็นแบริเออร์สำคัญในตอนนี้ เช่นเดียวกันกับที่ปฏิบัติมาตลอดเกี่ยวกับมาตรการรองรับคนต่างประเทศ เป็นการให้เวลากับการปรับตัวไปด้วย ขณะเดียวกันเราให้ความสำคัญกับการกักตัวที่บ้าน กักตัวในพื้นที่ และถ้ามีความจำเป็น เราก็มีสถานที่กักตัวของรัฐเพิ่มเติมขึ้น ในระหว่างที่มีการแพร่ระบาด และมีการตรวจสอบพบมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องหามาตการอื่นๆ มารองรับ นั่นคือ โรงพยาบาลสนาม ซึ่งจะเป็นสถานที่กักตัวขนาดใหญ่ ในส่วนของเวชภัณฑ์ต่างๆ ศอฉ.จะจัดหาให้เพียงพอ และได้มีการจัดหาจัดซื้อเพิ่มเติมโดยตลอด นายกฯ วอนขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และให้ฟังรัฐบาล ซึ่งจะมีการสื่อสารให้ข้อมูลมากยิ่งขึ้นผ่าน 2 ช่องทาง ช่องทางที่หนึ่งนั้น ในแต่ละวันจะมีการให้ข้อมูลทั้งวันในสื่อโซเชี่ยลช่องทางต่างๆ โดยจะมีศูนย์ปฏิบัติการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของสาธารณสุข, กระทรวงการต่างประเทศ และอื่นๆ ออกมาแถลงการณ์ และจะมีช่องทางให้ทุกคนติดต่อสอบถาม ในส่วนวาระของโฆษก ศอฉ.จะมีการประชาสัมพันธ์ให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กับประชาชนให้ทราบความเคลื่อนไหว และข้อมูลสำคัญๆ จึงขอให้รับฟังช่องทางในส่วนของรัฐบาลเป็นหลัก รวมถึงนายกฯ ยืนยัน จำเป็นต้องหามาตรการหางบประมาณมาเพิ่ม ทั้งกู้เงินให้เกิดสภาพคล่อง ในส่วนธนาคารรัฐจะมาช่วยอำนวยควาสะดวกให้

และในส่วนสำคัญอีกประการ หลังจากที่ได้มีการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินไปแล้ว ขอให้ระมัดระวังการใช้สื่อโซเชี่ยล การให้ข่าวสารข้อมูลบิดเบือน ซึ่งจะต้องได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากพบเจอผุ้กระทการอันให้สื่อบิดเบือน สามารถจับกุมดำเนินคดีได้ และยังมีผลทางคดีอาญาอีกด้วย รวมถึงผู้ที่ค้ากำไรเกินควรขึ้นราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ในสถานการณ์แบบนี้ รัฐบาลจะมีมาตรการเข้มงวดขึ้นไปเรื่อยๆ และต้องการประชาชนให้เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาลด้วย

การแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี

วันที่ 24 มีนาคม 2563

.

สาระสำคัญของพระราชกำหนด (พ.ร.ก.)

การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

มีทั้งหมด 19 มาตรา ดังนี้

ที่มา : ข่าวช่อง 8 | ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 122 ณ วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548