TOP

5 จริตภาวนา เส้นทางลัดสู่ความสุข

เมื่อในยุคที่เทคโนโลยียิ่งเข้ามามีบทบาท เติมเต็มความต้องการความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต และย่อโลกให้ใกล้เข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ต้องยอมรับว่าทุกอย่างบนโลกมักมี 2 ด้านเสมอ แม้แต่การสื่อสารในชีวิตประจำวันที่พัฒนาผ่านเทคโนโลยี ให้มีความทันสมัยเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว อีกมิติกลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยยะ รวมถึง “คุณภาพจิตใจ” ของคนกลับยิ่งเปราะบางลง ในแต่ละวันเกิดการสะสมความเครียด ความวิตกกังวล จนมีผลต่อสุขภาพทั้งกายและใจโดยไม่รู้ตัว การสร้างความสุข ปลุกความสัมพันธ์ สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตอย่างรู้สติ ให้อยู่กับสภาวะ “จิต” อันเป็นปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเติมเต็มและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีแล้ว การยกระดับจิต จึงเป็นเรื่องที่ควรทำไปพร้อมกัน

 

การบริหาร “จิต” ให้สงบนิ่ง ไม่อ่อนไหวไปตามสิ่งเร้า ย่อมทำให้จิตมีพลัง มีความสำคัญยิ่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดี พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงความสำคัญของการฝึกอบรมจิต ปรากฏในพระไตรปิกฏส่วนอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตที่ไม่ได้อบรม ย่อมไม่พร้อมที่จะใช้งาน จิตที่อบรมแล้วย่อมพร้อมที่จะใช้งาน จิตที่ไม่ได้อบรมย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมประโยชน์อย่างใหญ่หลวง จิตที่อบรมแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่หลวง จิตที่อบรมแล้วนำสุขมาให้ จิตที่ยังไม่ได้อบรมย่อมนำทุกข์มาให้ ไม่มีอะไรที่จะให้คุณหรือให้โทษได้มาก เท่ากับจิตที่อบรมแล้วหรือที่ยังไม่ได้อบรม”

การฝึกจิตในชีวิตประจำวันให้เป็นประจำ จะเกิดความตระหนักรู้นำพาความรัก ความเมตตาต่อตัวเรา เพื่อให้เราสามารถเป็นอิสระจากความทุกข์ เมื่อความทุกข์เข้ามากระทบ จะมองดูทุกข์ด้วยความรู้เท่าทัน ไม่ถูกทุกข์บีบคั้นสามารถให้อภัยตนเองและผู้อื่น แล้วน้อมนำความสุข ความสงบ มาสู่ตัวเอง เพื่อนฝูง และผู้ที่เคยไม่หวังดี จิตใจปลอดโปร่งเป็นอิสระ เกิดความผ่อนคลายทั้งกายและใจ “จิต” ที่ดีจะประกอบด้วย “สติ” เสมอ และทำให้เกิดการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างเข้าใจ ความเมตตาจะผุดขึ้นในใจอย่างเป็นธรรมชาติควบคู่กัน จึงถือเป็นการเยียวยาให้ฟื้นคืนพลังชีวิต สู่ความสงบสันติในใจอย่างแท้จริง และพึงระลึกไว้เสมอว่าเราแผ่เมตตา เพื่อให้ความเมตตาผุดขึ้นในใจเรา ไม่ใช่เพื่อขอให้ได้บางสิ่งที่ต้องการ เช่น ขอให้รวย ขอให้ถูกหวย และควรแผ่เมตตาให้กับตัวเองก่อน จากนั้นค่อยแผ่ขยายไปยังคนใกล้ชิดที่เรารัก บุคคลที่แวดล้อม รวมถึงคนที่เราไม่ชอบหรือที่เขาไม่ชอบเรา แผ่ไปยังทุกคนได้อย่างไม่มีเงื่อนไขดีที่สุด เพราะเมื่อเขาเป็นสุขก็จะไม่สร้างความทุกข์ให้เรา อาจกล่าวอีกนัยหนึ่ง เพื่อใจเราจะไม่เป็นทุกข์เพราะเขาอีกต่อไป ซึ่งเหล่านี้ต้องมาจากประสบการณ์ตรง ของผู้ที่ผ่านการฝึกฝนและปฎิบัติจนเกิดผลลัพธ์อันแท้จริงกับตัวเอง

 

AROUND Online ขอนำเรื่องราวของ 2 นักปฏิบัติผู้ผ่านการฝึก “สติ” และ “เมตตา” มาแชร์ประสบการณ์อันเกิดผลลัพธ์น่าอัศจรรย์การเปลี่ยนแปลงชีวิต ในทิศทางที่ดีกับชีวิตจากหน้ามือหลังมือ ทั้งสองท่านได้พบเส้นทางความสงบแห่งความสุขจากเบื้องลึก ความสว่างแห่งปัญญา นำมาแบ่งปัน 5 จริตภาวนา เส้นทางลัดสู่ความสุขอย่างแท้จริง

“เมื่อสมาธิไม่ได้สถิตอยู่แค่ในพระไตรปิฎก 
ใครเล่าจะเข้าใจ ศิลปะ ทางเลือกใหม่ให้เข้าถึงสมาธิอย่างถ่องแท้”
– ชลธิช วรรณอุบล –
คุณชลธิช วรรณอุบล Digital Editor หนุ่มมาดเข้มมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ ผู้โลดแล่นอยู่ในวงการด้านสื่อสารมวลชนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เติบโตมากับวงการนิตยสารและโทรทัศน์ แม้ด้วยสายงานที่ต้องอยู่ในแวดวงสังคม แต่คุณชลธิช มีมุมมองความคิดและการบริหารชีวิตได้น่าสนใจ
จริงแท้แล้วนั้น “สมาธิ” คือ ความตั้งมั่น การทำจิตใจให้ตั้งอยู่ในอารมณ์หนึ่ง หรืออารมณ์ปัจจุบันนั่นเอง การฝึกฝนสมาธิภาวนา ซึ่งมีอยู่หลากหลายรูปแบบ ผมขอเล่าประสบการณ์ที่ได้ผ่านการบวชเรียน ทั้งตำราและการปฎิบัติของห้วงชีวิตหนึ่ง ได้สอนผมว่า สมาธิภาวนานั้น จะส่งผลเร็วช้าเพียงใด นอกจากตำราในหนังสือมนต์พิธีแล้ว ผมขออนุญาติคิดคำขึ้นใหม่ ที่เข้าใจเป็นคำง่ายๆ ว่า ‘จริตภาวนา’ สิ่งนี้นั้น ถือว่าสำคัญมากเฉกเช่นเดียวกัน เพราะบางคนที่ไม่สามารถเจริญสมาธิภาวนาด้วยความเงียบสงบได้ เพราะจิตใจที่ยังวิตกกังวลจากเรื่องราวที่บั่นทอนในชีวิตที่ผ่านมา แล้วยังคงฝังลึกลงอยู่ในจิตใจของแต่ละคน ที่ตัวเรานั้นก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ผมแนะนำว่าลองใช้วิธีเหล่านี้ดูก่อน เริ่มจาก การอ่านออกเสียงบทสวดมนต์ ในขณะทำสมาธิเพียงกำกับไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน ใช้ดวงตาเพ่งอ่านอักษร ใช้ปากเปล่งออกเสียง ให้จิตพินิจบนหนังสือมนต์พิธี บางคนทำ สมาธิพร้อมเปิดทำนองเพลงมนต์พิธี โดยใช้ทำนองกำกับสมาธิ ให้ตั้งมั่นระลึกแห่งจิตภาวนา เพื่อให้ความสงบเกิดขึ้น สำหรับการเริ่มฝึกฝนสมาธิภาวนานั้น บางคนอาจใช้วิธีการเดินจงกลม คือ กำหนดจิตให้รู้สติทุกย่างก้าวเดิน พร้อมภาวนาตามความถนัด พุท-โธ หลากหลายวิธีฝึกจิตภาวนา จึงจำเป็นต้องเลือกวิธีให้ถูกกับจริตของตนเองก่อน เมื่อพาจิตให้มีจุดยึดเหนี่ยวให้นิ่งตรง ไม่ขวักไขว่ไปตามเรื่องราวการปรุงแต่งของอารมณ์ ที่พบเจอในชีวิตประจำวันแล้วนั้น การเริ่มสมาธิ จิตจะสงบ และเกิดเป็นสมาธิขึ้นมาได้ ยกระดับจิตเข้าสู่กรรมฐาน ถือเป็นบุญบารมีขั้นสูง ที่ปฎิบัติได้ด้วยตนเอง
และจากประสบการณ์ที่ฝึกฝนมาครบทั้ง 3 วิธี สามารถช่วยให้เข้าถึงสมาธิได้ง่ายขึ้น คุณเคยเป็นหรือไม่? เมื่อได้ฟังบทเพลงมนต์พิธีกลับมีอาการน้ำตาคลอ เราอาจหลงคิดไปว่า นั่นคือความไพเราะเสนาะหูของทำนองที่ได้ยินได้ฟัง แต่จริงแท้นั้นเรากำลังมีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ได้ยิน และนั่นเป็นความหมายที่มงคลยิ่งต่างหาก เมื่อไม่นานนี้ ชีวิตผมได้โคจรมาเจอกับผลลัพธ์ ที่ให้ผลเท่ากับฝึกสมาธิภาวนา แต่ไร้ซึ่งการออกเสียงมนต์พิธีดั่งที่เคยทำมาทั้งสิ้น สิ่งที่ว่านั่นคือ “ศิลปะ” ใครจะเชื่อ! เพียงเมื่อมือสัมผัสปลายภู่กันจุ่มสีจับแปรง เกิดเป็นความนิ่งในสติ ควบคุมจิตให้รู้ถึงการกระทำ มีสติทุกๆ การเคลื่อนไหวของปลายนิ้ว ทุกๆ แม่สีที่ถูกผสมล้วนเกิดจากความคิดอันแน่วแน่ สมาธิถูกเล่าเรื่องผ่านลวดลายบนกระดาษแผ่นขาว จิตตั้งมั่นอยู่ที่ปลายภู่กัน ซึ่งน่าแปลกที่ให้ผลลัพธ์แบบเดียวกับการฝึกสมาธิ ที่เขาเหล่านั้นเล่าต่อกันมาว่าต้องเปิดแต่ในตำรามนต์พิธี หรือนุ่งขาวห่มขาวจำศีลอยู่ในวัด จริงแท้แล้วนั้น สมาธิ…ก็เกิดขึ้นได้แทบทุกอิริยาบถในชีวิตประจำวัน หากได้ฝึกฝนจริงจัง สมาธิก็คงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณเองเช่นกัน ประสบการณ์ของผมในวัยเข้าสู่เลข 3 ที่ได้ความรู้ ความเข้าใจใหม่ว่า สมาธินั้นไม่ใช่เพียงแต่สถิตอยู่ในตำราเล่มหนา แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องใดๆ หรือปัจจัยต่างๆ ชีวิตหลังจากการฝึกปฎิบัติแล้วนั้น พบว่าความนิ่งทำให้เกิดสมาธิ ส่งผลให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ยึดติดทุกข์ในอดีต เจ็บรู้ ปวดรู้ แต่ไม่ทุกข์ทรมานดั่งที่เคยเป็น หลากหลายครั้งที่จิตวิตกกังวลในปัญหาที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เพียงเพราะขาดสมาธิศีล ทำให้ทุกอย่างที่เรียบง่ายดูวุ่นวายทันใด แต่เมื่อชีวิตผูกกับสมาธิได้วันใด ความยุ่งยากที่แสนจะซับซ้อน สติจะนำทางสู่ทางออกที่ถูกต้อง และเป็นวิธีที่สวยงามที่สุดดั่งชีวิตหนึ่งจะพึงมี
ดังนั้นแล้ว! จะหญิงหรือชาย บวชเรียนได้หรือไม่นั้น คงไม่ใช่อุปสรรคที่มาขีดเส้นจำกัดความของการเข้าถึง “การเจริญสมาธิภาวนา” เพราะจุดหมายของความสำเร็จนั้น ไม่ได้ถูกแบ่งแยกด้วยเหตุผลใดๆ ว่าคุณจะเป็นเพศที่บวชเรียนได้หรือไม่ ขอเพียงมีจิตที่ตั้งใจปฎิบัติ สมาธิก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม…

 

-||-

 

ดูจิต…ทำใจให้เสมือนแก้วน้ำที่ว่างเปล่า

– อรนุช อิทธิภากร –

คุณอรนุช อิทธิภากร อดีตนักเขียนและผู้บริหารนิตยสาร Do Pockazine ที่ผันตัวไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ธรรมะจัดสรรให้เธอมีเวลาปฏิบัติธรรมเรียนรู้กายใจอย่างจริงจัง เธอเคยเป็นทาสของวัตถุและอารมณ์ ที่มีจิตเปลี่ยนไปในทางที่เรียกได้ว่าเป็นปาฎิหารย์กับชีวิต หลังจากได้ปฏิบัติธรรม พลิกชีวิตเธอแบบหน้ามือหลังมือ สู่เส้นทางตามรอยพระพุทธองค์

 

เป็นคนหลงตัวเองว่าตัวเองดี มีสติอยู่แล้ว

ชีวิตก่อนหน้านี้ ไม่คิดสนใจในเรื่องการฝึกสติเลยค่ะ เพราะเป็นคนหลงตัวเองว่าตัวเองดี มีสติอยู่แล้ว (ทางธรรมะเรียกว่าอัตตาสูงมาก) สร้างเงื่อนไขมากมายให้ตัวเอง เพื่อนมาชวนให้ลองไปปฎิบัติธรรมครั้งแรก และได้สังเกตเห็นเพื่อนเปลี่ยนไปมาก กลายเป็นคนที่ใจเย็น อ่อนหวาน จึงตัดสินใจอยากลองไปสำรวจพิสูจน์ดูว่าการปฏิบัติธรรมนี่เป็นอย่างไรกัน

 

ธรรมะไม่ใช่เรื่องเข้าถึงยาก ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความทุกข์ก่อนจึงวิ่งหาที่พึ่ง

นุชต้องการสื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงธรรมะ ว่าแท้จริงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าถึงเลย ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความทุกข์ก่อนจึงวิ่งหาที่พึง หากได้มีครูบาร์อาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทาง เชื่อแน่ว่าทุกคนจะพบหนทางดับทุกข์ได้ และยังสามารถยกระดับจิตใจสู่เมตตาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย อีกทั้งการเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นหนึ่งในหน้าที่ของชาวพุทธ สมควรปฏิบัติให้เป็นประจำนิสัย

ทำใจให้เสมือนแก้วน้ำที่ว่างเปล่า

ครั้งแรกของการเริ่มปฏิบัติธรรม ยอมรับว่าในเวลานั้นตัวเองคิดแต่เพียงว่าไม่ค่อยได้รับประโยชน์เท่าที่ควร เพราะเราแบกอัตตาตัวตนในขณะปฏิบัติ ยังไม่มีความเชื่อศรัทธามากพอ และยึดติดเอาความสบายตัวเป็นที่ตั้ง แต่คงเป็นเพราะบุญเก่าที่เคยสั่งสมมาในอดีตชาติ ทำให้ได้มีจังหวะโอกาสไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง มันเป็นการชาเลนจ์ตัวเองครั้งใหญ่ นุชคิดว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้านในสิ่งที่เรายังไม่รู้จริง และควรเปิดใจให้เสมือนแก้วน้ำที่ว่างเปล่า ไม่นานชีวิตนุชก็เปลี่ยนไปอีกมิติเลยค่ะ” 

 

สนุกกับการเห็นการเปลี่ยนแปลงของจิต เห็นการวิ่งเข้าออกของอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต

ส่วนตัวนุชถูกจริตกับแนววิธีการดูจิต วิเคราะห์สังเกตจิตของตัวเอง เพราะสนุกกับการเห็นการเปลี่ยนแปลงของจิต เห็นการวิ่งเข้าออกของอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต เห็นถึงกระบวนการการกำหนดรักษาจิต ให้ไม่ไปตามกับสิ่งเร้าที่เข้ามายั่วยุอารมณ์ มันดีที่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน มันก็จะมีแพ้บ้างชนะบ้างสลับกันไป ท้าทายนะค่ะ เหมือนมีบทเรียนในใจเกิดทุกวันให้รับคมความคิด

 

เลือกช่วงเวลา สถานที่ อารมณ์ ที่พร้อมในการปฎิบัติ

ในชีวิตประจำวันการจะทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งผสานไปกับกิจกรรมต่างๆ นั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะสิ่งเร้าในชีวิตของแต่ละคนมีความมากน้อยต่างไป นุชขอแนะนำว่าควรเลือกช่วงเวลาที่พร้อม ทั้งสถานที่อันเงียบสงบ อารมณ์ที่ไม่ว้าวุ่นวายใจ เช่น ช่วงเช้าก่อนไปอาบน้ำ หรือ ก่อนนอน เราอาจฝึกสติด้วยการนั่งสมาธิก่อนประมาณ 20 นาที จากนั้นจึงแผ่เมตตาอีก 5 – 10 นาที หรือหากวันไหนมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เราอาจเจริญสติสั้นๆ 2 – 3 นาที โดยมีสติอยู่กับความรู้สึก และใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการแผ่เมตตา และหากทำจนชำนาญแล้ว เราสามารถพัฒนาการรวมจิตให้เข้าอิริยบทง่ายสบายขึ้นต่อไปได้ เช่น จริงๆ เราสามารถลืมตาสมาธิได้ และควรเริ่มจากการแบ่งจัดสรรเวลาเพื่อปฏิบัติค่ะ

จิตจะเกิดการพัฒนา สติปัญญาจะเฉียบคม

และจัดการกับอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อทำใจให้เหมือนแก้วว่างเปล่า และเพียรปฏิบัติไปเรื่อยๆ จิตจะเกิดการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดแน่นอนค่ะ สติเราจะเฉียบคมเข้มแข็งชัดขึ้น และจัดการกับอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์คือ เราจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น เพราะเห็นคุณโทษของผลการกระทำอันไม่สร้างสรรค์

 

ยิ่งเรียนรู้ฝึกฝนปฏิบัติก็ยิ่งใจเบิกบาน สนุก ตื่นเต้น

ยิ่งศึกษาเรียนรู้จิตปฏิบัติธรรมมากขึ้น ก็เหมือนเราได้กลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง เราอยากเรียนจนถึงที่สุด อยากรู้ว่าจนถึงที่สุดจะเป็นเช่นไร และยิ่งเรียนรู้ฝึกฝนปฏิบัติก็ยิ่งใจเบิกบาน สนุก ตื่นเต้นค่ะ

 

การฝึกสติและการแผ่เมตตา ช่วยให้เกิดความผิดพลาดน้อยลงในความคิดและการกระทำ

“เมื่อจิตถูกยกระดับละเอียดขึ้น เกิดเป็นความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ เป็นสิ่งที่นุชเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองจุดนี้ชัดมากค่ะ จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว มองโลกบวกบนพื้นฐานของความเข้าใจและใจเย็นลงมาก ที่เคยโกธรง่ายลดระดับจนดับอารมณ์โกรธได้ ”

 

สติ กับ เมตตา เป็นสิ่งที่มีอยู่กับมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว

จริงแล้ว สติ กับ เมตตา เป็นสิ่งที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วนะคะ เพียงต้องบริหารจิตให้เป็นประจำนิสัย เรื่องแบบนี้ต้องผ่านการฝึกฝนด้วยตัวเองค่ะ เริ่มจากทำสิ่งง่ายๆ ก่อน เช่น แผ่เมตตาให้สัตว์เลี้ยงที่รักสัมผัสเค้าเบาๆ ด้วยความรัก หรือบริหารรอยยิ้มส่งให้กับคนที่ไม่รู้จัก ฝึกสติรู้อารมณ์ทันบ้างไม่ทันบ้างก็ไม่เป็นไรเลย ให้ฝึกเป็นกิจวัตรเหมือนมีดที่ลับคม และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และจิตใจของตัวเองไปในทิศทางบวกอย่างแน่นอนค่ะ

 

คำแผ่เมตตาที่ดี คือการมอบความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน

ควรเป็นคำที่สั้น เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แผ่ให้ตัวเองและผู้อื่นได้ง่ายๆ นะค่ะ และเป็นความปรารถนาที่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้อื่น เช่น ให้มีความสุข เป็นอิสระจากความทุกข์ ให้มีเมตตาในใจ และเป็นคำที่ให้พลัง สามารถเยียวยาตนเอง และเยียวยาผู้อื่นได้ด้วยค่ะ

 

 

Photo Credit: น้ำเพชร วรกานนท์

เหมือนจันทร์ ศรีสอาด