TOP

Sir Paul Smith ดีไซเนอร์ระดับโลก จุดประกายความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ ผ่านบรรยายพิเศษครั้งแรกในไทย

การมาเยือนเมืองไทยครั้งนี้พิเศษมาก ๆ เซอร์ พอล สมิธ (Sir Paul Smith) ดีไซเนอร์ระดับโลก และผู้ก่อตั้ง Paul Smith (พอล สมิธ) แบรนด์แฟชั่นสัญชาติอังกฤษ นอกจากจะมาร่วมเปิดแฟล็กชิปสโตร์สาขา Central Embassy แล้ว ยังมาบรรยายพิเศษให้กับคณาจารย์และนิสิตแฟชั่น มศว (FASH SWU) ในหัวข้อ “ความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและนำไปปรับใช้ในการทำงานในอนาคต

ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มาบรรยายให้กับนิสิตแฟชั่นที่ประเทศไทย โดยมี จิตรฤดี พนิตพล รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มสินค้าแฟชั่นและนาฬิกา บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด, วรดา วงษ์ขันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มสินค้าแฟชั่น บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด, ผศ.ดร.นัดดาวดี บุญญะเดโช, ผศ.ดร.รวิเทพ มุสิกะปาน ให้การต้อนรับ ณ หอประชุมใหญ่ ชั้น 4 ศูนย์ศิลปกรรมแห่งประเทศไทย อาคารนวัตกรรม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยการบรรยายพิเศษครั้งนี้ เซอร์ พอล สมิธ ได้เผยถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางการออกแบบ อาชีพ และวิธีค้นหาแรงบันดาลใจได้จากทุกสิ่งรอบตัว

“ความฝันของฉันไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นกีฬา”

เซอร์ พอล สมิธ เปิดการบรรยายด้วยการเล่าถึงจุดเริ่มต้นอาชีพนักออกแบบว่า ตั้งแต่อายุ 12 ปี มีความฝันว่าอยากเป็นนักกีฬา นักปั่นจักรยานแข่ง แต่น่าเสียดายที่ความฝันไม่อาจเป็นจริง เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุเมื่ออายุ 18 ปี ทำให้ เซอร์ พอล ต้องมาทบทวน ประกอบกับช่วงเวลานั้นได้เห็นคนหนุ่มสาวจำนวนมากถ่ายภาพสถาปัตยกรรม แฟชั่น การออกแบบ ศิลปะ จึงเกิดความสงสัยว่าจะสามารถมีอาชีพที่น่าสนใจและสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้หรือไม่ จากนั้นเซอร์ พอล มีโอกาสช่วยเพื่อนคนหนึ่งซึ่งกำลังจะเปิดร้านเล็ก ๆ หลังจากนั้นไม่กี่ปีเขาก็ได้พบกับแฟนสาว พอลลีน เดนเยอร์ (Pauline Denyer ภรรยา เซอร์ พอล สมิธ) ซึ่งเรียนอยู่ที่ Royal College of Arts ในลอนดอน ซึ่งเซอร์ พอล ได้เรียนรู้เรื่องการตัดแพทเทิร์น วิธีทำชุดสูท เสื้อเชิ้ต ชุดเดรส จากแฟนสาว นำไปสู่เส้นทางสายแฟชั่นและการสร้างสรรค์แบรนด์ Paul Smith

“คิดนอกกรอบ และเรียนรู้จากการลงมือทำ”

เซอร์ พอล สมิธ ในวัย 21 ปี ได้เปิดร้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง และเปิดเพียงสองวันต่อสัปดาห์เท่านั้น เนื่องจาก เซอร์ พอล ได้ฟังบรรยายของ ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน (Dr. Edward de Bono) ผู้ริเริ่มแนวความคิด “การคิดนอกกรอบ” ซึ่งหมายถึงการที่คุณมองไปทางซ้ายหรือขวาของสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจน ดั่งคำพูดที่ว่า “the job changes you, you never change the job” ถ้าแค่พยายามมีร้านของตัวเอง และหาเลี้ยงชีพจากร้านเล็ก ๆ มันจะไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้จริง ๆ เซอร์ พอล จึงตัดสินใจเปิดร้านเฉพาะวันศุกร์และวันเสาร์ ส่วนวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี คือวันอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ซึ่งเซอร์ พอล ได้ให้คำแนะนำแก่ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ว่า “ความฝันของคุณอยู่ที่นี่ ดังนั้นจงเก็บความฝันไว้ที่นี่ แต่เพื่อที่จะหารายได้และหาประสบการณ์ พยายามสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่คุณฝันกับสิ่งที่คุณต้องทำ เพื่อให้ได้ประสบการณ์มันสำคัญมากในด้านแฟชั่น ไม่ใช่แค่ การวาดภาพที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการหาความรู้ในเรื่องต่าง ๆ มากมาย การทำความเข้าใจธุรกิจ โลจิสติกส์ การเรียนรู้เรื่องการสื่อสารโซเชียลสำคัญมาก ซึ่งต้องมาควบคู่กับการดีไซน์ บุคลิกภาพที่แตกต่างที่มาพร้อมกับคุณภาพ”

“สร้างพื้นที่ให้แหกกฎเกณฑ์ ควบคู่กับการหาประสบการณ์”

การออกแบบที่แตกต่าง เริ่มได้จากการคิดนอกกรอบ การมองหาแรงบันดาลใจที่อยู่รอบตัวเรา และเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ สิ่งเหล่านี้จะทำให้พบกับแนวคิดใหม่ ๆ การออกแบบจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ และความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งเซอร์ พอล ยังแนะนำว่า การหาประสบการณ์เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้า หาประสบการณ์เพื่อเรียนรู้การทำงานร่วมกับนักออกแบบคนอื่น ๆ ก่อนที่จะเปิดธุรกิจของตัวเอง เพราะโลกแห่งการแข่งขันนั้นยิ่งใหญ่ รวมถึงไม่ทำอะไรที่แบรนด์อื่นทำไปแล้ว การที่จะประสบความสำเร็จนั้นต้องพยายามคิดให้แตกต่าง และแรงบันดาลใจมีอยู่ทุกที่ เช่น การเห็นปากกาหมึกซึมแบบวินเทจที่มันดูเก่ามากหากนำมาเขียน แต่หากนำสีของปลอกปากกามาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบลวดลายเฉดสี แจกันสีน้ำเงินใบเก่าวางอยู่บนสนามหญ้าสีเขียว สู่การออกแบบลายทางระหว่างสีน้ำเงินและสีเขียว – “คุณสามารถมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวคุณได้ตลอดเวลา หนังสือพิมพ์ วอลเปเปอร์ สีสันของผนังล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณได้ ดังนั้นอย่าหมกมุ่นอยู่กับการมองว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่ หรือมีสีอะไรบ้าง แต่จงมองสิ่งที่อยู่รอบ ๆ อย่างชัดเจน รวมไปถึง ศิลปะ ดนตรี สถาปัตยกรรม การเดินทาง อารมณ์ขัน หรือแม้แต่การเปิดนิตยสารก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้”

“สร้างแรงดึงดูดด้วยความแตกต่าง”

ในการบรรยายครั้งนี้ เซอร์ พอล สมิธ เน้นย้ำถึงการคิดนอกกรอบที่สร้างความแตกต่าง เพราะความแตกต่างนี่เองที่จะสร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนหันมาสนใจแบรนด์ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในโลกแห่งธุรกิจ เช่นเดียวกับการออกแบบ Flagship store (แฟล็กชิพสโตร์) ของแบรนด์ Paul Smith ที่ให้ความสำคัญกับการดีไซน์ อย่าง Paul Smith Store ที่ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองขนาดใหญ่และผู้คนส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถ ทางเท้าแทบจะไม่มีคนเดิน จากเมืองที่แสนราบเรียบ เซอร์ พอล เกิดแนวคิดที่อยากเติมสีสันสดใสที่โดดเด่นจริง ๆ ในเมือง เลยออกแบบร้านให้เป็น สีชมพูสดใส – “ร้าน Paul Smith ในลอสแอนเจลิส มีผู้คนเช็กอิน ถ่ายรูปและโพสต์ลงโซเซียลอย่างล้นหลาม ภาพกำแพงสีชมพูตัดกับท้องฟ้าสีครามของเมืองลอสแอนเจลิส ตอนนี้เป็นอาคารที่มี Instagram มากที่สุดในแคลิฟอร์เนียและฮอลลีวูดทั้งหมด มากกว่าอาคารอื่น ๆ”

“การคอลแลปส์ สร้างการดึงดูดไปยังกลุ่มที่กว้างขึ้น”

การคอลแลปส์ระหว่างแบรนด์เป็นกลยุทธ์การตลาดเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้า เช่นเดียวกับแบรนด์ Paul Smith ที่มักสร้างปรากฏการณ์ความแปลกใหม่ด้วยการคอลแลปส์กับแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น Paul Smith + Anglepoise ผู้ผลิตโคมไฟชื่อดัง ซึ่งเซอร์ พอล กล่าวว่า “การทำงานร่วมกันกับแบรนด์อื่น ๆ แน่นอนว่าเป็นอีกทางที่สร้างรายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้แบรนด์ Paul Smith ไปปรากฏบนนิตยสารตกแต่งภายใน หรือในนิตยสารเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งแน่นอนว่าแฟชั่นของคุณจะอยู่ในนิตยสารแฟชั่นเท่านั้น จึงเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์อีกทางหนึ่ง”

ร่วมค้นหาตัวตนอันมีชีวิตชีวาไปกับ Paul Smith แบรนด์แฟชั่นสัญชาติอังกฤษ ซึ่งนำเข้าและจัดจำหน่ายในประเทศไทย โดยเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (CMG) ได้ที่ Paul Smith Flagship Store ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี พร้อมทั้งเคาน์เตอร์อีก 3 สาขา ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม, เซ็นทรัลลาดพร้าว และเซ็นทรัลภูเก็ต ฟลอเรสต้า

Wanlapha Ratphawan