TOP

รู้จัก “มุกดา นรินทร์รักษ์” นักแสดงดาวรุ่งอนาคตไกล

การมีชื่อเสียงและได้ทำงานในวงการบันเทิงอาจเป็นหนึ่งในความฝัน ของใครหลายคน หากแต่ไม่ใช่สำหรับเธอคนนี้ เด็กสาวผู้ซึ่งเดิมทีเคยมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนางพยาบาล และไม่เคยวาดภาพอาชีพการเป็นนักแสดงไว้เลยสักนิด แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งที่โอกาสมาถึง เธอก็ไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ นั่นจึงทำให้วันนี้เราได้รู้จักกับอีกหนึ่งนักแสดงดาวรุ่งอนาคตไกล…มุกดา นรินทร์รักษ์

“ที่บ้านมุกจะมีพี่น้องทั้งหมด 5 คนค่ะ ซึ่งมุกเป็นคนสุดท้อง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นน้องเล็กสุด แต่ที่บ้านก็ไม่ได้ตามใจนะคะ จนบางทีเราก็มีคิดเหมือนกันนะว่าทำไม แล้วก็จะหงุดหงิดอยู่คนเดียว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้จบไปค่ะ (หัวเราะ) คือคุณแม่จะฟังพี่คนโตว่าเขามีทัศนคติอย่างไร อยากให้น้องเป็นแบบไหน อย่างไร อยากให้น้องไปเรียนพิเศษที่ไหน แล้วก็จะมาบังคับให้เราไปเรียนค่ะ อย่างการมาประกวดมิสทีนไทยแลนด์นี่ก็เหมือนกัน ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าประกวด ไม่ได้หวังว่าจะมาสายนี้ตั้งแต่แรก แต่ก็โดนพี่ชายบังคับมา เขาบอกว่าปิดเทอมไม่มีอะไรทำ อยากได้ไอโฟนไหม ถ้าอยากได้ให้ไปประกวด เดี๋ยวซื้อให้เลยพอมาประกวดก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะว่าเอาจริงๆ พอเข้าไปประกวด เราก็รู้สึกแล้วล่ะว่ามันไม่ใช่ทางของเรา การที่ต้องมาถ่ายรูป ต้องนั่งคุยกับคนอื่น เจอคนอื่นเยอะแยะเต็มไปหมด มันคือสิ่งที่เรากลัว ก็เลยอยากรีบกลับบ้าน (หัวเราะ) คือรีบทำให้เสร็จๆ ไปจะได้กลับบ้าน จำได้ว่าตอนช่วงซ้อมบล็อกกิ้ง 15 คน คือเขาจะให้ซ้อมไว้ก่อน แล้วจำไว้ว่าถ้าหากได้เข้า 15 คนก็จะต้องเดินบล็อกนี้ มุกก็ไม่จำ ไม่ดูเลย เพราะคิดว่าคงจะไม่ได้เข้าแน่ๆ คือตั้งใจจะกลับบ้านอย่างเดียวแต่ปรากฏว่าได้เข้าเฉยเลย ก็เลยต้องคอยมองคนอื่นว่าเขาเดินอย่างไรนะ เรียกว่าไม่ได้คาดหวังอะไรเลยค่ะ นอกจากอยากกลับบ้าน”

นักแสดงสาวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางในวงการบันเทิง โดยเธอยังคงจำความรู้สึกแรกที่ขึ้นเวทีได้ว่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เช่นเดียวกับวันที่เข้าฉากถ่ายละครครั้งแรก เรื่องแรกในชีวิตที่ได้แสดงก็คือขมิ้นกับปูน ความรู้สึกในวันนั้นมุกจำได้ไม่มีวันลืมเลยค่ะ ท่องบทนานมากเป็นอาทิตย์เลย คือเขาจะมีเบรกดาวน์มาให้เราทำการบ้านก่อน ท่องอยู่เป็นอาทิตย์เลยนะกับฉากแค่ถือขนมหวานไปให้คุณน้า แล้วก็พูดว่า  ‘คุณน้าคะ ขนมหวานมาแล้วค่ะ’ ไดอะลอกมีแค่นี้เลยค่ะ พอผู้กำกับนับ 5 4 3 2 ก็สั่นเลย (หัวเราะ) ยิ่งเป็นฉากที่ต้องถือถาดด้วยก็เห็นชัดเลย คงตื่นเต้นด้วยความที่เป็นครั้งแรกในชีวิต คือกล้องก็คงเห็นแหละค่ะ พอวางถาดปุ๊บ ไดอะลอกลืมหมดเลย ลืมทุกอย่าง จำได้ว่าใจเต้นแรงมาก ก็ค่อยๆ ปรับไปค่ะ คือพอเราเริ่มจับจุดได้ ก็ค่อยๆ ลดความตื่นเต้นลง วิธีที่ทำให้ผ่านมาได้ตอนนั้นคือ เราก็ต้องไปทำความรู้จักนักแสดงคนอื่นๆ คุยให้เรารู้สึกสนิทกันมากกว่านี้ ตอนนั้นคือเราไม่รู้จักใคร แล้วเราเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยคุยกับใครด้วย ก็เลยยิ่งทำให้มีความตื่นเต้นกับอะไรหลายๆ อย่างรอบตัวเยอะมากค่ะ”

 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้เธอได้ก้าวเข้ามาในโลกของการแสดงเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ซึ่งในแต่ละวันที่ผ่านไปได้ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อวงการบันเทิงค่อยๆ เปลี่ยนไป ความสนุกและประทับใจค่อยๆ ฝังรากลึกในจิตใจจนกลายเป็นความรักและความผูกพันต่ออาชีพการเป็นนักแสดงได้ในที่สุด “จนถึงตอนนี้ความรู้สึกที่มุกมีต่อการทำงานในวงการบันเทิงเปลี่ยนไปนะคะ จริงๆ ตั้งแต่มุกไปทำงานญี่ปุ่น คือเราได้เริ่มลองงานภาพนิ่ง งานเคลื่อนไหวแบบที่ไม่ต้องพูด เราค่อยๆ ซึมซับจากงานเหล่านี้ มันเลยทำให้เรามีความมั่นใจในงานถ่ายรูป งานภาพนิ่งมาประมาณหนึ่ง แล้วพอได้มาแสดงละคร เราก็ค่อยๆ ปรับ ทีนี้มันก็เริ่มได้ทีละนิด มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ก็เลยไม่ค่อยเครียดแล้ว ค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ คิดว่ามันน่าจะเป็นประสบการณ์มากกว่า คือพอเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราก็ค่อยๆ ปรับทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ค่ะ อีกอย่างการทำงานตรงนี้จริงๆ มันเป็นโอกาสที่ดี ที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้มาง่ายๆ นะคะ แล้วเมื่อเราได้มาแล้ว จะทิ้งโอกาสไปทำไม เมื่อก่อนเวลามุกบ่นกับแม่ว่าไม่ชอบงานในวงการเลย แม่ก็จะบอกว่าโอกาสมาแล้วก็ทำๆ ไปเถอะ ก็เลยกลับมาคิดอีกทีว่าไหนๆ โอกาสมาแล้ว เราลองสู้กับมันสักนิดหนึ่งไหม ถ้าดีมันก็ดีกับตัวเรา มีเงินมีงาน มีโอกาสดีหลายๆ อย่างก็เลยตัดสินใจลองทำมาเรื่อยๆ ค่ะ ส่วนในอนาคตก็คิดว่าอยากจะทำไปตลอดละค่ะ เพราะตอนนี้เราก็เริ่มสนุก แล้วก็เป็นอีกด้านหนึ่งในชีวิตที่เราไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เราไม่ใช่คนพูดเก่ง เราไม่ใช่คนสนุก แต่เวลามีบทบาทอะไรใหม่ๆ มาให้เราเล่น มันก็เป็นอีกมุมที่เราไม่สามารถหาได้ในชีวิตจริงค่ะ ก็เลยอยากจะทำต่อไปจนอายุมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นในบทบาทอะไรก็อยากลองหมดค่ะ”

 

แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น สาวมุกก็ได้บอกความตั้งใจของเธอในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นให้เราได้ฟังว่า จะต้องเรียนให้จบในปีหน้านี้ให้ได้ เป็นความตั้งใจอย่างแรกและอย่างเดียวของเธอในปีใหม่นี้เลย “ตอนนี้ต้องเรียนจบอย่างเดียวเลยค่ะ ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาในตอนนี้หนูจะบอกกับตัวเองว่าต้องจบ เรื่องอื่นๆ เดี๋ยวค่อยว่ากัน แล้วหลังจากที่เรียนจบก็อยากจะทำแบรนด์อาหารเสริม กำลังคิดๆ อยู่ค่ะ เพราะถ้าเรียนจบแล้วก็จะเบาลงไปเรื่องหนึ่ง เราก็วิ่งได้เต็มที่แล้ว ไม่ว่าเราจะไปไหน จะลองอะไร ก็ทำได้เต็มที่ ส่วนของขวัญที่อยากจะให้กับตัวเองและครอบครัวในปีใหม่นี้ คงเป็นการเก็บเงินค่ะ เพราะอยากซื้อบ้าน เลยยังไม่ได้แพลนเอาเงินไปใช้อะไรมากมาย แค่ว่าคงจะเก็บเป็นเงินก้อนก่อน ซึ่งบ้านหลังนี้ก็จะให้เป็นของขวัญกับครอบครัวด้วยค่ะ” (ยิ้ม)

สำหรับแฟนละครที่ติดตามผลงาน สาวมุกเธอก็มีของขวัญเตรียมมามอบให้ในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ด้วยเช่นกัน กับผลงานละครเรื่องใหม่ทั้ง 2 เรื่อง ซึ่งนับเป็นอีกบททดสอบและความท้าทายในอาชีพการเป็นนักแสดงของเธอ “ปีหน้าก็จะมีละครได้ดู 2 เรื่องค่ะ เรื่องม่านบังใจ แล้วก็โซ่เวรีค่ะ สำหรับเรื่องม่านบังใจจะเป็นแนวผู้ใหญ่รักเด็ก เล่นกับพี่เวียร์ค่ะ พี่เวียร์นี่ก็จะเป็นแนวผู้ใหญ่ทำงานเลย ส่วนเราก็เป็นเด็กอายุ 18 อ่อนต่อโลก เป็นเด็กใสๆ เลยค่ะ มองโลกในแง่ดี เจออะไรที่แย่ๆ ก็รู้สึกแย่กับมันอยู่แป๊บเดียว แล้วด้วยความที่เป็นเด็ก ก็จะไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากมาย ทำให้เราจะเชื่อทุกคนไปหมดเลย มองคนไม่ค่อยเป็น จนต้องมีพี่เวียร์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าเข้ามาดูแล แล้วก็เกิดเป็นความรัก เชื่อว่าคนดูจะต้องลุ้นตามว่าทำไม 2 คนนี้ถึงไม่บอกรักกันสักที ทำไมถึงไม่พูดกัน แนวพ่อแง่แม่งอนค่ะ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องโซ่เวรีค่ะ อันนี้บทหนักมาก บทบาทของเรื่องนี้ก็จะโตขึ้นเยอะ ประมาณเด็กเรียนจบ ซึ่งก็เท่าอายุหนูตอนนี้นี่ล่ะ แต่เรื่องนี้จะเป็นลักษณะของคนที่เจอกับความผิดพลาดในชีวิต คือถูกวางยาทำให้พลาดตั้งท้องกับพระเอก เราไม่ได้พลาดด้วยความตั้งใจ ก็เลยจะหนักในด้านของอารมณ์ที่ต้องท้อง มีลูก แล้วก็เป็นตัวละครที่ต้องเก็บความรู้สึกเก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้คนเดียว ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้ทุกๆ คนเห็นว่าเราเป็นแค่เด็กวัยรุ่น ไม่ได้อยู่ในพาร์ทที่เป็นแม่ ซึ่งตอนถ่ายทำทั้ง 2 เรื่องนี้ก็ถ่ายทำพร้อมกัน ทำให้ต้องทำการบ้านเยอะ และโชคดีที่ได้พี่ผู้กำกับของทั้ง 2 เรื่องคอยตบให้เข้าคาแรกเตอร์ ในบางเวลาที่เราอาจจะหลุดไป ก็อยากให้ติดตามกันค่ะ”

ชลธิช วรรณอุบล I บรรณาธิการดิจิทัล