โรคไข้เลือดออกเดงกี ระบาดหนัก อย่าชะล่าใจ! ปล่อยให้ยุงลายกัดซ้ำๆ เสี่ยงเสียชีวิตได้
ไข้เลือดออกรุนแรง พบแล้ว ป่วย 26,000 ราย เสียชีวิต 30 ราย สูงกว่าปีก่อนๆ ถึงสองเท่า!
ไช้เลือดออก ต้นเหตุอันเกิดมาจากยุงตัวเล็กๆ แต่ฤทธิ์เยอะ สามารถทำให้คนเราเจ็บป่วยถึงตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือกอออกมากขึ้น บางคนหลังจากถูกเจ้ายุงกัด มีอาการแพ้มากถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เข้าสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ต้องลองสังเกตุตัวเองดีๆ หลังจากถูกยุงกัด ถ้ามีไข้สูงนาน 2 วัน แล้วไข้ยังไม่มีทีท่าลด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ปัจจุบันโรคนี้กำลังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุข และการแพทย์ของประเทศไทยอย่างมาก
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงคือ จากการตรวจสอบพบว่าโรคไข้เลือดออกที่พบในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็น “เชื้อไวรัสเดงกี่ ” สายพันธุ์ที่ 2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากที่สุดใน 4 สายพันธุ์ ยิ่งหากเป็นการป่วยไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จะยิ่งมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคมากขึ้น ทั้งนี้ หากพบว่าตัวเองมีไข้สูงลอยนาน 2 วัน ยังไม่ลดให้รีบไปพบแพทย์ และถึงแม้ไข้ลดแล้วก็ต้องดูด้วยว่าสภาพร่างกายผู้ป่วยเป็นอย่างไร ซึมลง ไม่มีเรี่ยวแรง หรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ให้รีบกลับไปพบแพทย์อีกครั้งทันที อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือคลินิก ร้านขายยา หากผู้ป่วยไข้สูง ขอให้หลีกเลี่ยงการจ่ายยากลุ่มเอ็ดเสด เพราะเสี่ยงทำให้เลือดออก เสียชีวิตได้ และขอทุกฝ่ายช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ป้องกันไม่ให้ยุงกัดด้วย
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. (กระทรวงสาธารณสุข) กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้มีจำนวนยุงลายเพิ่มมากขึ้น เกิดการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกในไทยและอาเซียน เพราะเป็นพื้นที่ร้อนชื้น จากรายงานขององค์การอนามัยโลก คาดว่า แต่ละปีจะมีผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีประมาณ 50-100 ล้านคน ร้อยละ 70 เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียน และส่วนไทยพบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2562 ถึงปัจจุบันมีผู้ป่วย 28,785 ราย สูงกว่าปี 2561 ถึง 1.7 เท่า เสียชีวิต 43 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.15 อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้งปีจะมีผู้ป่วยถึง 100,000 ราย
เมื่อถามว่าจากสถานการณ์ถือว่าเป็นการระบาดใหญ่หรือไม่ นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า สามารถประกาศได้ เพราะตอนนี้ยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ของค่าเฉลี่ยผู้ป่วยในรอบ 5 ปี อัตราการเสียชีวิตพุ่งถึง 1.6 ต่อ 1 พันประชากรที่ป่วย ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานกำหนดไว้คือ 1 ต่อ 1 พันประชากรที่ป่วย อีกทั้งจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตปีนี้ ก็แซงตัวเลขปี 2558 ซึ่งเป็นการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออกไปแล้ว คาดว่าจะมีผู้ป่วยสูงกว่าปี 2558 ด้วย ทั้งนี้ สาเหตุที่พบอัตราการป่วยมากในปีนี้ เพราะปีที่แล้วแม้จะควบคุมโรคได้ดี แต่ยังมีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ในธรรมชาติ พอมาในปีเลยพบมากขึ้น และมีโอกาสติดเชื้อครั้งที่ 2 ทำให้มีอาการรุนแรงได้
และจากรายงานสรุปสถานการณ์ไข้เลือดออก ประจำสัปดาห์ที่ 22 ปี 2562
สรุปยอดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 ของกรมควบคุมโรค พบว่า มีผู้ป่วยไข้เลือดออกแล้ว 28,785 ราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 2,355 ราย เสียชีวิต 43 ราย อัตราป่วย 43.57 ต่อแสนประชากร อัตราเสียชีวิตร้อยละ 0.15
สถิติการป่วยและเสียชีวิต ในแต่ละภาค
- โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ป่วยสูงสุด 10,758 ราย เสียชีวิต 16 ราย
- ภาคกลาง ป่วย 10,303 ราย เสียชีวิต 19 ราย
- ภาคใต้ ป่วย 4,573 ราย เสียชีวิต 7 ราย
- และภาคเหนือ ป่วย 3,151 ราย เสียชีวิต 1 ราย
จังหวัดที่พบว่ามีอัตราการป่วยและเสียชีวิต
- อุบลราชธานี มีอัตราการเสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้ว 8 ราย
- รองลงมา คือ ราชบุรี เสียชีวิตแล้ว 3 ราย
- นครศรีธรรมราช เสียชีวิตแล้ว 3 ราย
สำหรับพื้นที่ระบาด
- พื้นที่เสี่ยงสีแดง มีทั้งสิ้น 405 อำเภอ
- พื้นที่เสี่ยงสีเหลือง 188 อำเภอ
อำเภอที่มีผู้ป่วยมากกว่า 50 ราย
- อุบลราชธานี 4 อำเภอ คือ อ.เดชอุดม, อ.น้ำยืน, อ.นาจะหลวย และ อ.เมือง
- นครราชสีมา 3 อำเภอ คือ อ.ปากช่อง, อ.สูงเนิน และ อ.เสิงสาง
- ศรีสะเกษ 1 อำเภอ คือ อ.กันทรลักษณ์
- เลย 1 อำเภอ คือ อ.ภูกระดึง
- และชลบุรี 1 อำเภอ คือ อ.ศรีราชชา
สำหรับอัตราการป่วยและเสียชีวิตในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561-2557 พบว่า
- ปี 2561 มีผู้ป่วย 17,302 ราย เสียชีวิต 21 ราย
- ปี 2560 มีผู้ป่วย 13,961 ราย เสียชีวิต 27 ราย
- ปี 2559 มีผู้ป่วย 19,029 ราย เสียชีวิต 16 ราย
- ปี 2558 มีผู้ป่วย 24,248 ราย เสียชีวิต 13 ราย
- ปี 2557 มีผู้ป่วย 10,670 ราย เสียชีวิต 7 ราย
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเมื่อปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดใหญ่ พบว่ามีผู้ป่วยทั้งปีอยู่ที่ 142,925 ราย เสียชีวิต 141 ราย
เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่า
- อายุ 5-14 ปี ป่วยมากสุด 11,965 ราย เสียชีวิต 21 ราย
- รองลงมาคือ อายุ 15-34 ปี ป่วย 10,654 ราย เสียชีวิต 11 ราย
- อายุ 35-59 ปี ป่วย 3,375 ราย เสียชีวิต 5 ราย
- อายุ 0-4 ปี ป่วย 1,979 ราย เสียชีวิต 6 ราย
- และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ป่วย 812 ราย ยังไม่มีผู้เสียชีวิต
กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ ได้อธิบายถึงโรคไช้เลือกออก ให้พวกเรารู้ถึงที่มาของสาเหตุ และพึงระวังตัว
- ลักษณะของโรค
- โรคไข้เลือดออกเดงกี (Dengue Hemorrhagic Fever-DHF
) เป็นโรคติดเชื่อไวรัสเดงกี ที่มียุงลายเป็นแมลงนำโรค โรคนี้กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากโรคได้แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และจำนวนมีเพิ่มขึ้นอย่างมากใน 30 ปีที่ผ่านมา มากกว่า 100 ประเทศ ที่โรคนี้กลายเป็นโรคประจำถิ่น และโรคนี้ยุงคุกคามต่อสุขภาพของประชากรโลก มากกว่าร้อยละ 40 (2,500 ล้านคน) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะพบมากในประเทศเขตร้อนและเขตอบอุ่น
- วิธีการติดต่อของโรค
- โรคไข้เลือดออกเดงกี ติดต่อกันโดยมียุงลายบ้าน เป็นแมลงนำโรคที่สำคัญ และในชนบทบางพื้นที่จะมียุงลายสวน เป็นแมลงนำโรคร่วมกับยุงลายบ้าน เมื่อยุงลายตัวเมียกัด และดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้ ซึ่งระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก เชื่อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะของยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย พร้อมที่จะเข้าสู่คนที่ถูกกัดต่อไป เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไปกัดคนอื่น ก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนนั้นป่วยได้
ระยะฟักตัว
ระยะฟักตัวจำนวนของไวรัสเดงกีในยุง ประมาณ 8-10 วัน ระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสเดงกีในคน ประมาณ 3-14 วัน โดยทั่วไปประมาณ 5-6 วัน
- ระยะติดต่อ
- โรคไข้เลือดออกเดงกี ไม่ติดต่อจากคนสู่คน ติดต่อกันได้โดยยุงเป็นแมลงนำโรคเท่านั้น การติดต่อจึงต้องใช้เวลาในผู้ป่วยและในยุง ระยะที่ผู้ป่วยมีไข้สูง ประมาณวันที่ 2-4 จะมีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก ระยะนี้จะเป็นระยะติดต่อจากคนสู่ยุง และระยะเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสในยุงจนมากพอ อีกประมาณ 8-10 วัน จึงจะเป็นระยะติดต่อจากยุงสู่คน
- อาการแสดง
- หลังจากได้รับเชื้อจากยุงประมาณ 5-8 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรค ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันได้ ตั้งแต่มีอาการคล้ายไข้เดงกี ไปจนถึงมีอาการรุนแรง และรุนแรงมากขึ้นจนถึงช็อก และเสียชีวิต
ผู้ป่วยจะมีอาการ 3 แบบ คือ
-
- Undifferentiated fever (UF) หรือกลุ่มอาการไวรัส
- ไข้เดงกี (Dengue fever – DF)
- ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF)
โรคไข้เลือดออกเดงกี มีอาการสำคัญที่เป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ 4 ประการ เรียงตามลำดับการเกิดก่อนหลัง ดังนี้
-
- ไข้สูงลอย 2-7 วัน
- มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่จะพบที่ผิวหนัง
- มีตับโต กดเจ็บ
- มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว/ภาวะช็อก
การดำเนินโรคของโรคไข้เลือดออกเดงกี แบ่งได้เป็น 3 ระยะ
ระยะไข้
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส บางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชักมาก่อน ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง (flushed face) ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหลหรืออาการไอ เบื่ออาหาร อาเจียน และไข้จะสูงลอยอยู่ 2-7 วัน อาจพบมีผื่นแบบ erythema หรือ maculopapular ซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่น rubella ได้ อาการเลือดออกที่พบบ่อยคือ ที่ผิวหนัง การทำ tourniquet test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena) ส่วนใหญ่จะคลำตับ โต ได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ ตับจะนุ่มและกดเจ็บ
ระยะวิกฤติ/ช็อก
ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี จะมีอาการรุนแรง มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว เวลาที่เกิดช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค (ถ้ามีไข้ 2 วัน) หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค (ถ้ามีไข้ 7 วัน) ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง และจะเสียชีวิตภายใน 12-24 ชั่วโมง หลังเริ่มมีภาวะช็อก
ระยะฟื้นตัว
ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยค่อนข้างเร็ว ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อกเมื่อไข้ลดส่วนใหญ่ก็จะดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยช็อกถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องทันท่วงทีจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ระยะฟื้นตัวมีช่วงเวลาประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน
ระบาดวิทยาของโรค
ประเทศไทยเริ่มพบโรคไข้เลือดออกประปราย ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2492 และการระบาดใหญ่ในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2501 ในเขตกรุงเทพ-ธนบุรี สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501-2545 มีแนวโน้มที่สูงขึ้น และมีการระบาดหลายลักษณะ เช่น ระบาดปีเว้นปี ปีเว้น 2 ปี หรือระบาดติดต่อกัน 2 ปี แล้วเว้น 1 ปี แต่ในระยะ 15 ปีย้อนหลัง ลักษณะการระบาดมีแนวโน้มระบาด 2 ปี เว้น 2 ปี ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะอยู่ในกลุ่มอายุ 0-14 ปี อัตราป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี อัตราส่วนผู้ป่วยเพศหญิงต่อเพศชายใกล้เคียงกัน พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม
การรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี จึงให้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ แพทย์ผู้รักษาจะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรค และให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด จะต้องมีการดูแลรักษาพยาบาลที่ดีตลอดระยะวิกฤต คือ ช่วง 24-48 ชั่วโมง ที่มีการรั่วของพลาสมา หลักในการรักษา มีดังนี้
- ในระยะไข้สูง บางรายอาจมีอาการชักได้ถ้าไข้สูงมาก ให้ยาลดไข้ ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาพวกแอสไพริน, ibrupophen, steroid เพราะจะทำให้เกล็ดเลือดเสียการทำงาน จะระคายกระเพาะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น
- ให้ผู้ป่วยได้สารน้ำชดเชย เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ทำให้ขาดน้ำและเกลือโซเดียม ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผลไม้หรือสารละลายผงน้ำตาลเกลือแร่
- ติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ตรวจพบและป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลา
- ดูการเปลี่ยนแปลงของเกล็ดเลือดและ hematocrit เป็นระยะๆ เพราะถ้าปริมาณเกล็ดเลือดเริ่มลดลง และ hematocrit เริ่มสูงขึ้น เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าน้ำเหลืองรั่วออกจากเส้นเลือดและอาจจะช็อกได้ จำเป็นต้องให้สารน้ำชดเชย
สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกหรือเลือดออก แพทย์จะต้องให้การรักษาเพื่อแก้ไขสภาวะดังกล่าว ด้วย สารน้ำ พลาสมา หรือสาร colloid อย่างระมัดระวัง เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยและป้องกันโรคแทรกซ้อน
ขอบคุณที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) | สำนักระบาดวิทยา | หนังสือพิมพ์ข่าวสด
Photo Credit : pixabay | stockvault | กระทรวงสาธารณสุข