TOP

เริ่มต้นปีด้วยความสุขกับ มาริโอ้ เมาเร่อ นิตยสาร AROUND ฉบับมกราคม 2563

ต้อนรับศักราชใหม่เขาก็กลับมาสร้างความสุขให้กับคนดูภาพยนตร์อีกครั้ง กับผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ Low Season หนังรักของคนอกหักที่ขอไม่ดราม่าแต่จะมาพร้อมเสียงหัวเราะ โดยก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นพูดคุยถึงผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ นักแสดงหนุ่มอารมณ์ดีได้ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นบนเส้นทางในวงการบันเทิง กับภาพยนตร์เรื่องแรก “รักแห่งสยาม” ซึ่งจนถึงวันนี้ได้ผ่านมาเป็นเวลา 13 ปีแล้ว และเพิ่งจะจัดงานครบรอบไปเมื่อไม่นานนี้ โดยยอมรับแบบติดตลกว่าตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจบทบาทการเป็นนักแสดงเท่าไหร่นัก แต่ที่สนใจเพราะค่าตอบแทนที่จะได้รับ “ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจถึงการแสดงนะครับ แต่ก็รู้ว่าได้เงินเยอะอยู่ (ยิ้ม) หลักแสนเลย ก็ทำให้พลังที่จะออกไปทำงานมันมีเยอะครับ ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ครับ เพิ่งจบ ม.6 อายุ 18 เอง ก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องมาเป็นนักแสดง ไม่ได้อินอะไร แต่แค่รู้สึกว่ามันจะแบ่งเบาภาระแม่ได้ แล้วก็รู้สึกว่าคงไม่ได้ยากลำบากอะไรขนาดนั้น ก็เลยสนใจ ซึ่งก่อนที่จะมาเล่นได้ก็ต้องไปแคสก่อน ตอนที่ได้ก็ดีใจ แต่พอได้มาทำงานก็เลยรู้เลยว่าจริงๆ แล้วมันไม่ง่าย

และเมื่อถึงวันนี้เห็นว่ามีคนดูหลายๆ คนรักและคิดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ก็ดีใจครับ เพราะผมเองผมยังชอบเลย ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ลงตัวครับ ทั้งเรื่องของนักแสดง บท แล้วก็เพลง ซึ่งสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในฐานะของนักแสดงผมมองว่าอาจเป็นเพราะช่วงนั้นมันไม่มีหนังที่เป็นชายรักชายด้วยครับ แต่จริงๆ ถ้าได้ดูจะเห็นว่าหนังก็ไม่ได้มุ่งไปที่ประเด็นนั้นอย่างเดียวนะ คือผมว่ามันเป็นหนังที่ดูง่าย สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในใจคนได้ง่าย อีกอย่างเพลงก็เพราะด้วย แล้วก็มีแต่นักแสดงมากฝีมือหลายท่านเลย คือเหมือนองค์ประกอบทุกอย่างลงตัว รวมไปถึงบทก็ค่อนข้างดีมากเลยครับ” จากก้าวแรกในวงการบันเทิง ได้นำมาสู่ก้าวต่อๆ มา จนมาถึงล่าสุดกับผลงานภาพยนตร์ Low Season กับบทบาทของคนเขียนบทรักพัง

“ในเรื่องผมรับบทพุฒิครับ ซึ่งพุฒิจะเป็นคนเขียนบทที่พัง คือเขาอกหักจากแฟนที่เป็นผู้กำกับ เพราะว่าแฟนไปมีคนอื่น ก็เลยพัง และโจทย์อีกอย่างของพุฒิคือต้องไปเขียนบทหนังผี ซึ่งพุฒิไม่มีอยู่ในหัวเลย เพราะปกติเขาก็เขียนแต่หนังอินดี้ จนวันหนึ่งระหว่างทางที่จะไปขึ้นดอย ความตั้งใจของพุฒิคืออยากจะไปหาอินสไปเรชั่น แล้วมันก็เป็นช่วง Low Season พอดี ที่นั่นเขาได้เจอกับหลิน ซึ่งก็ได้มารู้ทีหลังว่าหลินเป็นคนมีซิกซ์เซ้นส์ด้วย พอได้ขึ้นไปบนโฮมสเตย์ก็เลยได้ไปเจอคนพังอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพี่โจ๊ก – อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ, อ้น – ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์, โฟร์ – ศกลรัตน์ วรอุไร และนิกกี้ – ณฉัตร จันทพันธ ซึ่งแต่ละคนมีเรื่องพังของตัวเอง มาเล่า มาแชร์กัน มันก็เลยเกิดเรื่องราวความคอมเมดี้ขึ้นครับ

สำหรับการร่วมงานกับแก๊งค์คนอกหักบอกเลยว่าวุ่นวายมากครับ เพราะแต่ละคนนี่ตัวพีคทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะนิกกี้กับพี่โฟร์ 2 คนนี้เขาซี้กันอยู่แล้ว เขาก็ด่ากันทั้งวันเลย สนุกครับ (หัวเราะ) ผมชอบฟังเขาด่ากัน แต่ตัวผมเองถ้าเป็นสองคนนี้ผมไม่สู้นะครับ (หัวเราะ) ฟังอย่างเดียว เพราะเขาเล่นกันหนัก เขาซี้กัน อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นการกลับมาร่วมงานอีกครั้งกับพี่เป้ – นฤบดี เวชกรรม ซึ่งเคยได้ร่วมงานกันใน ‘สาระแนสิบล้อ’ ก็เป็นอะไรที่ดีมากครับ เพราะว่าชอบร่วมงานกับพี่เป้ ตอนเด็กๆ ก็โดนพี่เป้แกล้งมาตลอด พอโตขึ้นมาก็เหมือนโดนแกล้งอีกแล้ว (หัวเราะ) เพราะโลเคชั่นที่ไปถ่ายโหดมาก บางที่ที่เราไปถ่ายต้องลำบากลำบนมาก แล้วอยู่ในช่วงโลว์ด้วย ฝนก็ตก บางคืนเราถ่ายกันเสร็จ 2 ทุ่ม แต่กว่าจะออกจากโลเคชั่นได้ประมาณ 5 ทุ่ม เรียกว่าไม่ได้เหนื่อยถ่ายทำ แต่เหนื่อยเอารถขึ้นลง” 

นักแสดงหนุ่มเล่าบรรยากาศการถ่ายทำพร้อมเสียงหัวเราะให้ฟังอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเล่าถึงฉากที่ประทับใจให้เราฟังต่อไปว่า “ถึงจะเต็มไปด้วยการเดินทางที่ยากลำบาก แต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมประทับใจมากครับ เป็นฉากพีคของเรื่องเลย ก็คือมันเป็นหน้าผาที่เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามรอบๆ แบบ 360 องศาเลย วันนั้นเราต้องรอถ่ายช่วงพระอาทิตย์ตก ก็เลยต้องทำงานแข่งกับเวลา แต่สวยมาก และที่สำคัญคือหนาวมากด้วยครับ” (ยิ้ม) นอกจากนี้ด้วยบทบาทในเรื่องซึ่งต้องรับบทเป็นคนอกหัก ตรงกันข้ามกับเรื่องรักในชีวิตจริงที่กำลังสดใสเป็นสีชมพู แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการทำความเข้าใจบทเลย เพราะหนุ่มโอ้ได้กระซิบบอกกับเราว่าตัวเขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาอกหักมาเหมือนกัน แถมยังเคยมีฉากยืนอยู่ใต้ฝักบัวไม่ต่างจากในหนังในละคร เพียงแต่นี่คือชีวิตจริง

“ตอนที่อกหักมันก็เศร้านะครับ แต่ผมว่าก็เป็นทุกคนแหละ ซึ่งการยืนใต้ฝักบัวถามว่ามันช่วยไหม ผมว่ามันก็คงเป็นเหมือนการที่เราได้อยู่กับตัวเองมากกว่าครับ เหมือนได้ปลดปล่อย คือมันก็เหมือนไปอาบน้ำ เพียงแต่ว่ามันยังมีเรื่องอะไรในใจที่ติดอยู่ อีกวิธีคือเรายังมีเพื่อนมีครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนครับที่จะช่วยเราได้ แล้วก็ที่สำคัญเราต้องแชร์ อย่าไปเก็บไว้ และถ้าจะให้เลือกสถานที่สักแห่งสำหรับเดินทางไปพักใจก็คงเลือกเชียงใหม่เหมือนในเรื่องนั่นล่ะครับ เพราะชอบที่อากาศดี” หลังจากอัตเดตผลงาน พร้อมแง้มเรื่องหัวใจเล็กๆ ให้เราได้ฟังแล้ว ในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้หนุ่มโอ้ยังได้บอกกับเราด้วยว่าอยากจะใช้โอกาสนี้เรียนเกี่ยวกับเครื่องยนต์เพิ่มเติม เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าปกติแล้วหนุ่มคนนี้เขาหลงใหลในเสน่ห์ของรถโบราณ โดยเฉพาะรถเต่าอยู่แล้ว “ถ้าเป็นการซ่อมหรือดูแลเบื้องต้น ปกติผมพอทำได้อยู่ครับ ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงชอบรถเก่าทั้งๆ ที่ต้องมาคอยซ่อม ต้องดูแลเยอะ สำหรับผมความสนุกมันอยู่ตอนนี้ล่ะครับ เพราะว่าได้ความรู้ แล้วผมว่าสำหรับผู้ชายก็คงชอบอะไรที่เป็นเครื่องยนต์กลไกมั้งครับ ซึ่งรถก็พาเราไปไหนๆ ได้ด้วย ที่สำคัญอีกอย่างคือมันทำให้ผมคิดถึงคุณพ่อที่เสียไปครับ  นอกจากนี้ก็อยากจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้นด้วยครับ เพราะช่วงนี้ไม่สบายบ่อย ส่วนที่แน่ๆ เลยคืออยากพาแม่ไปเที่ยวครับ ก็วางแพลนไว้แล้ว ตั้งใจว่าจะพาแม่ไปเที่ยวนานหน่อย แล้วก็ไกลหน่อย ไปเยอรมัน ไปกัน 3 คนครับ พี่ชายไปด้วย ซึ่งที่เลือกเยอรมันเพราะเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อผมด้วยครับ” พูดจบพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนหวานก่อนจะทิ้งท้ายอ้อนคนดูว่า “ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง Low Season ไว้ด้วยครับ เป็นหนังที่ผมว่าค่อนข้างที่จะดูง่าย และทุกคนน่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ง่ายเช่นกัน เพราะเป็นทั้งหนังรัก และมีเรื่องราวความคอมเมดี้ด้วย ส่วนโลเคชั่นที่ไปถ่ายก็สวยมากๆ ก็อยากให้ไปชมกันเยอะๆ เข้าฉายวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ครับ” (ยิ้ม)

ชลธิช วรรณอุบล I บรรณาธิการดิจิทัล