TOP

‘มธรา’ พาท่องญี่ปุ่น 2 เมือง “โอซาก้า – เกียวโต” พร้อมชวนเช็กอินโรงแรมเปิดใหม่ก่อนใคร!

Matara ทริปนี้ บินมาไกลถึง Osaka ไฮไลต์ของทริปนี้คือ การได้ปักหมุดโรงแรมแห่งใหม่ติดกับ Namba Park ที่สะดวกสบายสำหรับพี่น้องคนไทยทุกคน ต่อด้วยเลือดนักช็อปอย่างเรา ๆ ที่ค่าเงินเยนอ่อนตัวอยู่นี่ประมาณ 0.25 บาทต่อ 1 เยนเท่านั้น จึงทำให้สินค้าหลายชิ้นคิดออกมาเป็นเงินไทยในราคาที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก

โรงแรมแห่งใหม่ที่มาเช็กอินก่อนใครนี้คือ Centara Grand Osaka Hotel โรงแรมในเครือ Centara ของคนไทย ตึกสูงใหญ่ 33 ชั้น ที่ไม่เพียงแต่รู้สึกสบายใจเป็นเหมือน Home sweet home สำหรับนักท่องเที่ยวไทยแล้ว มี ห้องอาหารไทย Suan Bua (สวนบัว) เตรียมรอต้อนรับ โดยเฉพาะอาหารเช้าคือดีมาก เพราะมีโซนอาหารญี่ปุ่น โซนอาหารฝรั่ง และที่ขาดไม่ได้คือ โซนอาหารไทยหลากหลายได้ใจอย่างเรา ๆ ที่เลือกไม่ได้ว่าเช้านี้อยากรับประทานสไตล์ไหน จัดไปเต็ม ๆ กับความรู้สึกง่าย ๆ แบบ 3 in 1 ไปเลย ถ้าเป็นเรื่องของห้องอาหารอื่น ๆ และบาร์ ที่นี่คือเรียกว่าควรมาเช็คอินซัก 1 เอาท์เล็ต แนะนำ ห้องอาหาร Whiskey Nova ชั้น 32 เซตเมนูสเต็กเนื้อคือดีมากจริง ๆ

ถ้าเลือกมาดริงก์ มี 2 ร้าน 2 สไตล์ คือ Automata ชั้นเดียวกัน แนวเดินเข้าไปแล้วได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง Sci-Fi สามารถรังสรรค์ดริงก์ที่มี Personal Art ในเครื่องดื่มนั้นได้ ต่อด้วย Rooftop 33F ที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ จินไปในช่วงนี้ที่อากาศดี ลมดี เพลงไม่ดังไป นั่งคุยกันกับเพื่อนสาวพร้อมวิวโอซาก้า

เรื่องของห้องพักนั้นเป็นระดับ 5 ดาว ระดับ Business Hotel ที่เน้นหลับสบายพร้อมความสะดวกสบาย ห้องน้ำแยกอย่างเป็ดสัดส่วน การตกแต่งโมเดิร์นทันสมัย ที่โรงแรมนี้มียิมและสปา แต่ไม่มีสระว่ายน้ำ ซึ่งเอาจริง ๆ จินว่าก็ไม่จำเป็นเพราะว่าอยู่ในเมือง เน้นช็อปปิงออกไปเดินเล่น รับประทานอาหารก็หมดวันแล้ว ดังนั้นกลับมาแช่น้ำใน Bathtub ของห้องพักก็ได้ค่ะ

มาช็อปครั้งนี้ศึกษามาก่อนว่าอยากได้อะไร เพราะด้วยเวลาที่จำกัด การช็อปอย่างมีสติและมีการวางแผนล่วงหน้าเป็นสิ่งที่พึงควรทำอย่างยิ่ง จินส่วนตัวได้ศึกษา Second hand shops ร้านขายของ used, ของมือสองแบรนด์เนม ผ่านทางยูทูปอยู่หลายช่องก่อนมาลงสนามจริง จึงพอรู้ว่าควรไปร้านไหนบ้าง เช่น Kindal, Watchnia, Brandoff และสุดท้ายก็ได้ของแบบที่ตัวเองต้องการจริงในราคาที่พอใจมาก ใครมีเวลาว่าง ๆ หรือกำลังมองหาของบางรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้ว คิดว่าเป็นตลาดมือสองที่ใหญ่ ค่อนข้าง Popular และน่าไป ลองแวะไปดูหลาย ๆ ร้านที่ Osaka ค่ะ 

แต่ถ้าคนไหนไม่ชอบของมือสองต้องใส่มือหนึ่งเท่านั้น ขอแนะนำให้เข้าห้าง หรือ Boutique แบรนด์ต่าง ๆ เลยค่ะ ของเยอะของใหม่ เข้าร้านเรื่อย ๆ ค่ะ อย่างทริปนี้จินและเพื่อน ๆ ก็ได้รองเท้า Loro Piana สีใหม่มากันคนละคู่ หาไม่ยากนะคะ ทั้งร้านมีแค่ 1 คู่เอง แพรเพื่อนจินได้ที่ Daimaru Osaka ส่วนจินไปได้อีกคู่ที่ Takashimaya Kyoto

 

Matara in Kyoto

เดินทางจาก Osaka – Kyoto ด้วยรถไฟ Kyo – Train Garaku ที่ตกแต่งภายในด้วย 4 ฤดูแบบญี่ปุ่นในแต่ละโบกี้ และที่สำคัญราคาดีมากค่ะ เพราะราคาตั๋วคือราคารถไฟปกติเลย เพียงแต่พวกเราต้องขึ้นรถไฟให้ถูกขบวนเท่านั้นเองค่ะ รถไฟนี้จะมาทุก 2 ชั่วโมง (นาทีที่ 32 รถไฟจะออกจากสถานี Osaka – Umeda) และลงที่สถานี Kyoto – Kawaramachi ซึ่งบังเอิญมากคือลงรถไฟ ขึ้นลิฟท์ขึ้นมาตรงกับห้าง Takashimaya ทันที เรียกว่าข้ามเมืองมาช็อปปิงกันแบบไม่มีเวลาให้เข้าโรงแรมก่อนเลยทีเดียว

การขอยืดทริปไป Kyoto นี้จริง ๆ แล้วเพื่อ Mission ที่ยิ่งใหญ่คือ ไปตามล่าหาซื้อชาเขียวชั้นดีให้คุณแม่ เพราะไปทริปนี้คุณแม่บอกว่าอย่าเถลไถลนะลูก ไปดูชาเขียวให้แม่ก่อน!! เหมือนแม่รู้ เพราะกว่าจะเดินไปถึงร้านชาเขียวประจำของแม่ ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว วันที่เดิน Kyoto ตรง Gion แวะทุกร้าน หยุดทุกมุม ถ่ายรูปทุกจุด

กว่าจะไปถึง ร้านชา Gion Tsujiri ก็ต้องรีบปฏิบัติหน้าที่ลูกสาวท่ามกลางลูกค้าที่เยอะมาก และพนักงานขายที่มีจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หลายอย่างไม่เหมือน 4 ปีที่แล้ว (ก่อนโควิด) ที่มีโชว์ใบชา และมีให้ลองชิมชาไปด้วย แต่มาวันนี้ต้องเลือกจากกล่อง จากการอ่านชื่อ ราคา และ rating ของแต่ละปัจจัยของชา ครั้งนี้ได้รับโจทย์จากแม่ให้มาซื้อ Gyukuro ใบชาชั้นดี รุ่นนี้ก็ว่าทอปสุดแล้วจบเลย แต่มาถึงมีให้เลือกอีกใน Gyukuro มากถึง 4 แบบ โดยแต่ละแบบนั้นมี 3 factors ในการตัดสินใจคือ Umami (รสชาติที่กลมกล่อม), Astringent (ความฝาด), Sweetness (ความหวาน) ที่แต่ละรุ่นจะ Rate ในแต่ละเรื่องนี้ไม่เท่ากัน สุดท้ายจบด้วยแม่ตัดสินใจให้เอามาทั้ง 4 แบบค่ะ

ครั้งนี้ได้รับโจทย์จากแม่ให้มาซื้อ Gyukuro ใบชาชั้นดี รุ่นนี้ก็ว่าทอปสุดแล้วจบเลย แต่มาถึงมีให้เลือกอีกใน Gyukuro มากถึง 4 แบบ โดยแต่ละแบบนั้นมี 3 factors ในการตัดสินใจคือ Umami (รสชาติที่กลมกล่อม), Astringent (ความฝาด), Sweetness (ความหวาน) ที่แต่ละรุ่นจะ Rate ในแต่ละเรื่องนี้ไม่เท่ากัน สุดท้ายจบด้วยแม่ตัดสินใจให้เอามาทั้ง 4 แบบค่ะ

ส่วนการมาพักที่นี่ในเดือนกันยายนที่ เกียวโต ไฮไลต์ของพวกเรา Matara ก็มีจุดมุ่งหมาย คือ Dusit Thani Kyoto โรงแรมที่เปิดใหม่ได้ไม่ถึง 15 วัน จินและเพื่อน ๆ ก็ขอไป Check in ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่สบายที่สุดในโลก (เพราะเตียงนี้ทำให้จินนอนหลับยาวถึงบ่ายเลย) ตัวโรงแรมด้านนอกว่าเรียบสวย พร้อมธงไทยสะบัดอยู่ด้านบนของอาคาร ที่ทำให้นักท่องเที่ยวไทยอย่างเรารู้สึกดีมาก ๆ ด้านในโรงแรมคือ หรูแบบรวมความ Traditional และ Modern ไว้ด้วยกันได้ดี มีความสวยงามของการตกแต่งภายในอย่างประณีต

อีกจุดที่ประทับใจคือ Courtyard สวนหินญี่ปุ่น ต้นไม้ แสงที่ตกลงมาตรงกลางโรงแรม เป็นมนต์เสน่ห์สไตล์เกียวโต อีกทั้งรับรู้ได้ถึง Truly Luxury Hospitality ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นที่ผสมกันแบบลงตัว ตอนเช็กอินมีพนักงานที่เห็นพาสปอร์ตไทย เลยกล่าวทักจินและเพื่อน ๆ ว่า “สวัสดี” อาหารเช้ากึ่ง Buffet กึ่ง A la carte ที่เด็ดสุดคือ เมนูมีตั้งแต่อาหารไทย ข้าวผัดกระเพรา ไปถึง Avocado Toast ที่เชฟพิถีพิถันในการทำมาก อาหารเรียกว่าเป็นระดับ Fine Foods ขนาดเดินไปทำสลัดและหยิบ Kyoto Tofu มาลองรับประทานแล้วรู้สึกดีต่อใจ

โรงแรมไม่ได้ใหญ่มาก แต่รายละเอียดดีทุก Touch points ชาเขียวออร์แกนิกที่มีให้ในห้องมีกลิ่นหอมรสชาติดี ส่วนตัวชอบโรงแรมนี้ เหมาะกับการไปพักผ่อน มีสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และ Tibetian Bowl Activity ที่จินชอบมาก ชอบไปใช้บริการก่อนขึ้นไปอาบน้ำนอน ตัวโลเคชั่นของโรงแรมนี้จะตั้งในที่เงียบ อยู่ห่างจาก Gion ซักประมาณ 15 นาทีโดยรถ ซึ่งอยู่ที่นั้นก็เรียก Uber หรือไม่ก็ Taxi สะดวกสบายดี

ขากลับพวกเราเลือกบิน Low Cost Airline ของญี่ปุ่นชื่อ Peach Air สีม่วงสดใสน่ารัก ราคาดี พวกเราจ่ายไปกันคนละ 6,800 บาท/คน/เที่ยว การไปสนามบินที่โอซาก้าจากโรงแรมที่เกียวโต มี 3 วิธีค่ะ 1. เช่ารถตู้พร้อมคนขับ (วิธีนี้ราคาแพงสุดค่ะ) 2. นั่งTaxi ไปสถานีรถไฟ และนั่งรถไฟตรงไปที่ Airport (วิธีนี้ประหยัดแต่เดินเยอะตรงสถานีรถไฟทั้ง 2 จุด) และ 3. นั่ง Taxi ไปอาคารแถวสถานีรถไฟ และนั่ง Coach Bus ตรงไปที่ Airport และไปจอดที่หน้า Terminal 2 ของเราเลย (วิธีนี้ประหยัด ง่าย และสะดวกสบายจริง ๆ ค่ะ) พวกเราทั้ง 3 คน จึงเลือกวิธีที่ 3 และก็เรียกว่าง่ายจริง ๆ ไปถึงสนามบินเร็วกว่ากำหนด เพราะเค้าเปิดให้เช็กอินได้แค่ 1.30 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนเวลา Take off เนื่องจากสนามบินเล็ก สำหรับสายการบินนี้เช็กอินง่ายด้วยเครื่องก่อน แล้วจึง Drop Bag ภายในตัวเครื่องไม่มีหน้าจอใด ๆ เรียบแต่มีที่เสียบ USB ให้ชาร์จแบตมือถือได้ เมนูขนมและอาหารก็มีให้เลือกแบบจำกัด แต่ที่จินสั่งระหว่างทางกลับคือ Nishin instant noodle พร้อมเครื่องดื่มเย็นชาเขียว โดยรวมคุ้มค่าสมราคามาก ๆ

Explore & Express หยุดช้าดูธรรมชาติบ้าง รวดเร็วเร่งด่วนบ้าง ฟังเสียงน้ำตก นกร้องบ้าง ฟังเพลงเสียงดังสนุกสนานในร้านค้าบ้าง อยู่กับตัวเองภายในบ้าง เชื่อมโยงกับภายนอกบ้าง จิบชาเขียวคุณภาพดีบ้าง ดื่มน้ำวิตามินต่าง ๆ จากร้านสะดวกซื้อบ้าง นี่คือจังหวะชีวิต ที่ได้จากเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้

 

เรื่องโดย

คุณจงจินต์ จึงสุระ
หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ มธรา (Matara)
Instagram: @realjongjin
Facebook: SuperJin Jongjin

 

เหมือนจันทร์ ศรีสอาด