TOP

อัพเดทชีวิตคุณแม่ลูกสาม แฟชั่นไอคอนผู้มีไลฟ์สไตล์เหนือระดับ กับ “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต”

เมื่อเอ่ยชื่อ “ชมพู่ – อารยา เอ ฮาร์เก็ต” บางคนอาจนึกถึงเธอในฐานะของนักแสดงเจ้าบทบาท ในขณะที่บางคนอาจนึกถึงภาพของพิธีกรสุดแซ่บ หรืออาจมีภาพของตัวแม่สายแฟ ในเวลาเดียวกับการเป็นสาวนักช้อปผู้ชาญฉลาด รวมถึงการเป็นคุณแม่ลูกแฝดสุดสตรอง ที่เร็วๆ นี้เพิ่งจะมีข่าวดีว่ากำลังมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหน สาวเก่งคนนี้ก็ทำได้ดีชนิดที่ทุกคนต้องให้การยอมรับ เพราะว่า…แม่ก็คือแม่!

 

วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราได้กลับมาร่วมงานกับตัวแม่แห่งวงการคนนี้ โดยแม้ว่าสาวชมกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3 อายุ 18 สัปดาห์แล้ว แต่เธอก็ยังคงคุณภาพการทำงานไว้ได้อย่างดีเยี่ยม สมกับเป็นมืออาชีพเช่นเคย โดยเธอได้เริ่มพูดคุยถึงความรู้สึกของความสำเร็จในการมีลูกสาวครั้งนี้ว่า

“จริงๆ ตอนแรกก็คิดว่าพอพี่สายพี่พาอายุสัก 2 ขวบ ก็คิดว่าน่าจะได้เวลา แต่ก็ไหลๆ มาเรื่อยๆ จนตอนที่คิดว่าเริ่มจะจริงจัง ก็น่าจะเป็นช่วงโควิด-19 มาพอดี ประมาณต้นปี 2020 ซึ่งก็ไม่สำเร็จเลย คือเป็นเวลาเกือบๆ 2 ปีที่เราพยายาม พอสำเร็จก็เลยรู้สึกว่า ‘เฮ้อ! สักทีในที่สุด’ จริงๆ ตัวชมเอง ก็คิดว่าถ้าได้ผู้หญิงอีกสักคนหนึ่งก็คงจะเป็นภาพที่สมบูรณ์อย่างที่เราตั้งใจ แต่พอช่วงแรกที่ไม่สำเร็จสักที เราก็เริ่มมาถึงจุดที่ทำใจแล้ว ว่าถ้าสมมติไม่ได้ เราก็ยังมีอีกสองคนที่ทำให้ชีวิตแฮปปี้ดี พอคิดได้อย่างนี้เลยวางใจได้ประมาณหนึ่ง สุดท้ายเลยติดในที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น แต่ว่ากว่าจะมีคนนี้ได้ก็ทำให้เราเข้าใจในหลายๆ อย่างเหมือนกัน เพราะว่าพอไม่ติดรอบแรก จากที่เป็นคนที่มั่นใจมากว่าเราสุขภาพดี เพราะตอนพี่สายพี่พาก็ทำทีเดียวติด ในช่วง 2 ปีที่พยายามนั้น เราก็มานั่งหาคำตอบทั้งเรื่องสุขภาพ และเรื่อง rejuvenation แล้วชมก็ไปทุกศาสตร์เลย ซึ่งคุณหมอที่เราปรึกษาเรื่องมีลูกก็บอกว่าจริงๆ ร่างกายเรา ก็ไม่ได้เสื่อมถอยไปมาก แต่ว่าก็เป็นเรื่องของความเครียด ซึ่งเราเองมองไม่เห็น แล้วเราก็พยายามที่จะไปเติมตรงนั้น ไปเสริมตรงนี้ ทำทุกอย่าง ไปทุกศาสตร์ ยาจีนก็กิน ขนาดแม้แต่หมอจีนก็ยังแมะ ครั้งแรกที่เจอแกก็แมะเสร็จแล้วพูดว่าร่างกายไม่มีอะไร แต่เครียด เราก็คิดว่าใช่เหรอ จนพอมาสุดทางจริงๆ เราก็เลยมาคิดว่าหรือเราแบกอะไรไว้เยอะ แล้วพอลองวางก็สำเร็จ ซึ่งก็จริงนะ เพราะเราเบาตัวกว่าเยอะเลย”

แม้ว่าจะผ่านการตั้งท้องแฝดมาแล้ว แต่คุณแม่สุดสตรองคนนี้ก็ยอมรับว่าท้องนี้ไม่ง่ายเลย “ท้องนี้แพ้มาก แพ้โดยที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะแพ้ขนาดนี้ ใจตอนแรกก็คิดว่าเอาอยู่ เพราะว่าผ่านท้องแฝดมาแล้ว แต่ปรากฏว่าพอมาเป็นท้องนี้ก็แพ้หนักมากจริงๆ เรียกว่าโงหัวไม่ขึ้นเลย ต้องอยู่กับที่ตลอดเวลา แล้วก็กินไม่ได้ คือหิวมาก (ลากเสียง) แต่ว่ากินไม่ได้ อะไรก็ไม่มีรสชาติ เหมือนเรากินกระดาษ แล้วก็คลื่นไส้อาเจียน ตัวร้อน คือเหมือน Hang over ผสมเมารถทุกอย่างเลยค่ะ เป็นแบบนี้เต็มๆ สามเดือนกว่า จนเข้าเดือนที่สี่ ก็ยังมีบางวันที่ยังมีอาการ แล้วชมก็คิดว่าอาจจะผสมกับเรื่องของโควิด-19 ด้วย คือเหมือนเราเก็บตัวมานาน (ลากเสียง) ซึ่งช่วงที่ชมเริ่มท้องก็จะเป็นช่วงที่สถานการณ์ยังพีคอยู่ เราก็ไม่เจอใครเลย คัดกรองคนที่จะเข้ามาเจอ เลยกลายเป็นว่าเราก็ยิ่งอยู่กับความทรมานนี้ โดยที่เราก็ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้เจอใคร ไม่ได้คุยกับใคร จนมาเริ่มรู้สึกตัวว่าวันไหนที่เพื่อนสนิทมาหาที่บ้าน คุยๆ กันไป อยู่ๆ เราก็กินข้าวได้ขึ้นมา ก็เลยมาคิดว่าเราต้องเอาตัวเองออกจากตรงนี้ พอเริ่มครบ 10 – 11 สัปดาห์ก็ยังแพ้อยู่ แต่ก็ออกไปบ้าง ออกไปแบบเซฟๆ ค่ะ ส่วนพี่สายพี่พาเขาก็รู้แค่ว่าแม่มีน้อง แม่ไม่ค่อยสบาย แต่ถามว่าดูแลอะไรไหม ก็ไม่ค่อยนะ (หัวเราะ) แต่พี่พาเขาก็จะมีพูดถึงน้องเยอะหน่อย เพราะเขาเป็นคนพูดเยอะ (หัวเราะ) ส่วนสายฟ้าเขาจะไม่ค่อยแสดงออกทางคำพูดเท่าไหร่ แต่เวลาอยู่กันสองคนเขาก็จะพูดว่า ‘อยากรู้ว่าน้องหน้าตาเป็นยังไง’ เราก็แปลกใจว่าประโยคนี้มาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยพูดให้เขาฟัง ด้านคุณน็อตเขาก็ไม่ค่อยแสดงออกเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม) แต่จะเป็นเชิงนโยบาย (หัวเราะ) คือเขาก็เป็นแนวจัดหาอะไรต่างๆ ให้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษเฉพาะช่วงท้องนะคะ คือก็จะเป็นมาตรฐานของเขาอยู่แล้วที่เขาดูแลเราแบบนี้ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามีความเป็นพิเศษกว่าตอนที่เราไม่ได้ท้องค่ะ”

พูดจบพร้อมกับส่งยิ้มหวานจนทำเอาเราอดอิจฉาไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนไปคุยสไตล์การเลี้ยงลูกในแบบของสาวชม ที่เธอบอกว่าไม่ได้มีหลักการอะไร แค่ใช้สัญชาตญาณของความเป็นแม่ บวกกับการทำตัวให้เป็นแบบอย่างเท่านั้นเอง “การเลี้ยงลูกแบบปล่อยให้เขาเล่นไป โดยที่เราไม่ไปห้าม อาจจะเป็นเพราะว่าชมไม่ได้เห็นว่ามันผิดตรงไหน คือก็ไม่ได้ over protective อยู่แล้ว เพราะคิดว่าถ้าเลอะก็ล้างเอา แล้วอีกอย่างเราจะไปห้ามเด็กทำทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้ แล้วเราก็ดูเขาว่าเขามีความเป็นตัวของตัวเอง มีอะไรที่เขาอยากทำ อยากแสดงออก ซึ่งถ้าเราไปห้ามเขาทำทุกอย่าง แล้วเราจะให้เหตุผลเขาว่าอะไร ชมก็เลยจะปล่อยแต่ถ้าอะไรที่ล้ำเส้นหรืออันตรายเกินไปก็ค่อยบอกอีกทีค่ะ ซึ่งสำหรับตอนนี้ก็จะเน้นเรื่องความปลอดภัย เพราะเขาก็กำลังซนมาก ทโมนมาก โดยเฉพาะสายฟ้า เห็นอย่างนั้นเขาจะเอ็กซ์ตรีม เวลาเขาเล่นมันๆ เขาจะกระโดด โหน ปีนป่าย คือถ้าอยู่ใน comfort zone เขาจะสุดมาก แต่อย่างพายุเขาจะมีความตุ๊ต๊ะๆ ก็จะเซฟตัวเองกว่า คือถึงจุดหนึ่งเขาจะไม่บ้าบิ่นเท่าพี่สาย แต่ก็มีบ้างถ้าเล่นมันมากๆ เราก็ปล่อยให้เขาเล่นไป แต่ว่าก็ต้องจับตามอง”

นอกเหนือไปจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว ถ้าติดตามไอจีอยู่เสมอจะเห็นว่าอีกสิ่งหนึ่งที่คุณแม่สายแฟคนนี้ปลูกฝังให้กับลูกๆ อยู่เสมอ คือเรื่องของการใส่บาตรทำบุญ ที่เธอให้เหตุผลว่า “ชมว่าตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือการโชว์ให้เห็น แล้วคำอธิบายมันค่อยๆ ตามมา ซึ่งจริงๆ เด็กตื่นเช้านะคะ พายุนี่เขาจะตื่นเช้าตลอดเลย แต่สายฟ้านี่ด้วยความที่เขาติดแม่ ถ้าชมไม่ลุกจากเตียงเขาก็จะไม่ลุก แต่ตั้งแต่ท้องบางทีชมก็ลุกไม่ค่อยไหว หรือบางทีตื่นก่อนพระมา แต่ว่าลงไปไม่ไหว ด้วยสภาพหรืออะไรต่างๆ ก็จะเป็นบางวันไป ซึ่งถ้าวันไหนแม่ลงเขาก็ลงค่ะ และถ้าถามว่าเลี้ยงยากไหม ชมว่าก็ไม่ได้เลี้ยงยากทั้งคู่นะ เพียงแต่ว่าเราก็ต้องมีเวลาเพื่อที่จะเข้าใจเขา ต้องให้เวลาแล้วก็ต้องเปิดใจมากๆ อย่าไปตีกรอบว่าต้องให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้รับเขาอย่างที่เขาเป็น แล้วก็คอยตบๆ ให้อยู่ในครรลอง อยู่ในบรรทัดฐานในสังคมที่ควรจะเป็น มีศีลธรรม จริยธรรม แล้วที่เหลือก็คือปล่อยเขา แต่เขาก็ไม่ค่อยกลัวชมนะ เพราะดุทุกวัน แต่เขาจะกลัวพ่อโกรธ ซึ่งพ่อนี่จะไม่เคยเป็นพ่อมดสำหรับเขาเลย แต่แม่มดเนี่ยก็คือจะเป็นแม่ เพราะบางทีผู้ชายพอเห็นเล่นอะไรทโมนๆ เขาก็ปล่อย พ่อก็จะไม่เอ็ด แต่เราก็จะคำนึงถึงความปลอดภัย หรือคำนึงถึงว่าเวลาไปอยู่กับคนอื่น แล้วถ้าไปทำแบบนี้มันไม่น่ารัก คือบางอย่างปล่อยให้เป็นนิสัยไม่ได้ แล้วเด็กพูดทีเดียวเขาไม่ค่อยเชื่อนะ ซึ่งเราเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ แต่พอเรามาเป็นแม่ก็ต้องทำค่ะ” (ยิ้มอ่อน)

ด้านไลฟ์สไตล์ความเป็นสายแฟนั้น คุณแม่คนเก่งก็ยอมรับว่ามีเปลี่ยนไปบ้าง เพราะไม่สามารถใช้เวลาแต่งตัวแต่งหน้าได้นานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ซึ่งถ้าจะถามว่าระหว่างพี่สายและพี่พา ใครมีแววจะเดินทางสายแฟเหมือนคุณแม่บ้าง ก็บอกเลยว่าเรื่องนี้ต้องยกให้พี่สายเขาล่ะ “พายุเขาเอาความสบายเป็นหลัก คือถ้ามีคนชมว่าหล่อก็ชอบ แต่ว่าถ้าเสื้อผ้าใส่ไม่สบาย ผ้ามีตะเข็บ วงแขนคับ มีป้ายก็จะจับดูแล้วว่าคันคอไหม หรือถ้ามีปักจับดูแล้วแข็งๆ ข้างใน เขาก็จะไม่ใส่ เจอกางเกงยีนส์นี่คือกรี๊ดเลย แล้วก็อยากจะใส่แต่แขนสั้นขาสั้น รองเท้าแตะ บางทีไปกินร้านดีๆ แต่ลูกแต่งตัวแบบคนละเรื่องกับสถานที่เลย (หัวเราะ) ซึ่งจริงๆ ก็อยากจะบอกเขาให้รู้จักกาลเทศะ แต่ว่าอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็ต้องค่อยๆ ไปค่ะ แต่อย่างสายฟ้านี่เขาจะชอบแต่งตัวหล่อ เวลาที่เขาแต่งตัวใส่เสื้อแขนยาวขายาว เขาก็จะส่องกระจก แล้วต่อให้เราไม่ชม ถ้าเขาแต่งตัวดีเขาก็จะรู้ว่าวันนี้เขาแต่งตัวดี เหมือนเขาก็จะมีเซนส์ว่าเขาหล่อกว่าปกตินะวันนี้”

นอกเหนือจากบทบาทของการเป็นคุณแม่สายแฟแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สาวชมยังคงทำได้เป็นอย่างดีคือบทบาทของสาวนักช้อปที่ชาญฉลาด “ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ก็แทบไม่ได้ออกไปไหนเลย ได้แต่ช้อปออนไลน์อยู่บ้าน และออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของเข้าบ้าน ซึ่งชมก็ช้อปผ่านบัตรเครดิตซิตี้พรีเมียร์นี่ละค่ะ เพราะบัตรใบนี้จะเป็นบัตรส่วนตัวของเรา (หัวเราะ) ส่วนบัตรครอบครัวก็จะเป็นอีกใบหนึ่ง ซึ่งก็บอกเลยว่าเหมาะกับสาวนักช้อป เพราะเรื่องพ้อยต์ ที่ได้ 4 เท่าจากแฟลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ที่ฮิตๆ อย่าง Shopee, Lazada หรือแม้แต่ Haus of Abbi ที่เป็นของชมเอง ก็จะช้อปของให้ทั้งลูก ครอบครัว และตัวเองวนไป เช่นเดียวกับการสั่งอาหารออนไลน์ทาง Grab, Line Man หรือ Foodpanda ก็จะได้พ้อยต์ 4 เท่าเหมือนกัน แถมยังได้เครดิตเงินคืนอีก 5% ถ้าช้อปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านอย่าง Tops, Central FoodHall, Gourmet, Home Fresh Mart, Foodland และ Villa คือซิตี้เขาคิดมาให้แล้วว่าถ้าสำหรับคนที่เป็นนักช้อปจริงๆ บัตรใบนี้ก็จะคุ้มค่าที่สุดแล้วค่ะ”

 

ก่อนจะจบบทสนทนาวันนี้ ในมุมมองของคนนอกที่เห็นว่าคุณแม่คนเก่งอย่างสาวชม สามารถรับทุกบทบาทหน้าที่ได้อย่างลงตัว เราจึงแอบถามเคล็ดลับการบาลานซ์ชีวิต ซึ่งตัวแม่สายแฟคนเก่งก็ได้ทิ้งท้ายว่าไว้ว่า “บาลานซ์มันไม่มีอยู่จริงนะถ้าเอาจริงๆ เลย มันเป็นเรื่องของแต่ละวัน คือชมรู้สึกว่าที่ผ่านมา เราพยายามที่จะบาลานซ์ทุกๆ เรื่องในชีวิต จนเรามาถึงจุดหนึ่งที่เราได้รู้ว่า การบาลานซ์ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเรื่องของวันต่อวัน แล้วเราก็ค่อยๆ ปรับมันไป ซึ่งสำหรับตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของชมก็คือครอบครัว สุขภาพกาย แล้วก็สุขภาพจิต คือเอา 3 อย่างนี้เป็นหลัก ที่เหลือก็ค่อยว่ากันอีกทีค่ะ” ยิ้มหวานก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนลุคเป็นสาวแฟสุดชิค ให้ช่างภาพรัวชัตเตอร์ต่อไป

 

MODEL: อารยา เอ ฮาร์เก็ต
PHOTOGRAPHER: พลอยภัทร
PHOTOGRAPHER ASSISTANT: พลภัทร นรเศรษฐกานนท์
STYLIST: #styledbykn
HAIR STYLIST: @katemossholiday
MAKEUP ARTIST: @pom_vinij
CLOTHES: Loewe ชั้น M สยามพารากอน โทร. 0 2610 9825 / Bottega Veneta ชั้น G ดิ เอ็มโพเรียม โทร. 0 2664 7200 / Karl Lagerfeld ชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ โทร. 0 2252 0506 / Off-White ชั้น M สยามพารากอน โทร. 0 2129 4530 / Vetements ชั้น M ดิ เอ็มควอเทียร์ โทร. 0 2021 2199
LOCATION: Carlton Hotel Bangkok Sukhumvit 491 Sukhumvit Road, Klongtoey Nua, Wattana, Bangkok 10110

T +66 2 090 7888, F +66 2 090 7889, E enquiry@carltonhotel.co.th,
www.carltonhotel.co.th Carlton Hotel Bangkok Sukhumvit carltonhotelbangkoksukhumvit @carltonhotelbkk

เหมือนจันทร์ ศรีสอาด