TOP

‘โอริส’ ถ่ายทอดเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ผ่าน Oris Big Crown Bronze Pointer Date ท้าทายกาลเวลาด้วยตัวเรือนบรอนซ์ สัญลักษณ์อันเป็นนิรันดร์

ยุคสมัยของวัสดุบรอนซ์หวนกลับมาอีกครั้ง

โอริส เฉลิมฉลองบทบาทแห่งประวัติศาสตร์ ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของ Big Crown Pointer Date ด้วยตัวเรือนบรอนซ์ และการขัดเคลือบผิวที่ทำให้หน้าปัดบรอนซ์ในแต่ละเรือน มีคุณลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียวเฉพาะตัว อาจจะเป็นการยากที่จะอธิบายว่าเพราะเหตุใด รูปแบบการออกแบบเดียวถึงได้มีพลัง และมีคุณค่าเหนือกว่าแบบอื่น มันเป็นไปได้อย่างไรที่ขีดของมิลลิเมตรตรงจุดนี้ หรือการตวัดปากกาตรงจุดนั้น จะทำให้เกิดผลที่สำคัญต่อความสัมพันธ์ และความยั่งยืนของรูปแบบการดีไซน์?

นาฬิกา Oris รุ่น Big Crown Pointer Date เข้ามาเป็นหนึ่งในคอลเลกชันครั้งแรกในปี 1938 เมื่อกว่าแปดทศวรรษที่ผ่านมา ผลิตขึ้นเป็นนาฬิกาข้อมือสำหรับนักบินที่ต้องสวมถุงมือ ดังนั้นจึงต้องทำเม็ดมะยมที่มีขนาดใหญ่พิเศษ และตัวเลขอารบิคที่เห็นชัดเจนบนหน้าปัด แต่ยังคงรูปลักษณ์ที่มีความงดงาม

‘ความงดงามนั้นได้ผลักดันการตัดสินใจของเรา’ Rolf Studer เจ้าหน้าที่บริหารร่วมระดับสูงของ Oris ‘ในความงดงามนั้นเราพบเสน่ห์ดึงดูดใจ จนรักเลยด้วยซ้ำ ซึ่งผลักดันเราให้กล้าลงทุน เราซื้อสิ่งของที่เรารัก กับนาฬิกานั่นก็เป็นเรื่องจริง ส่วนใหญ่แล้วอารมณ์ความรู้สึกมักจะอยู่เหนือเหตุผลเสมอ’

นาฬิกา Big Crown Pointer Date ยังคงรูปแบบที่เชื่อมโยงกับดีไซน์แบบดั้งเดิม แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทในการฟื้นฟูของ Oris หลังวิกฤติการณ์นาฬิกาควอตซ์ในช่วงทศวรรษ 1970 ทั้งยังเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูของอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส ‘บทบาทของ Big Crown Pointer Date อยู่ในช่วงการตัดสินใจของ Oris ในช่วงกลางและปลายทศวรรษ 1980 เพื่อจะฟื้นฟูสภาพบริษัทขึ้นใหม่ ด้วยการผลิตเฉพาะนาฬิกาจักรกลแต่เพียงอย่างเดียว’ กล่าวต่อโดย มร. สตูเดอร์ ‘มันมีเรื่องราว ความมุ่งหมาย และคุณค่าทางความรู้สึก ที่นาฬิกาควอทซ์ในทุกวันนี้ไม่สามารถเทียบได้เลย มันกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Oris และเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูที่น่าทึ่งของอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส

ในวันนี้ กว่า 30 ปีต่อมา Oris Big Crown Bronze Pointer Date ตัวเรือนและหน้าปัด ผลิตด้วยวัสดุบรอนซ์ เป็นสื่อสัญลักษณ์ให้เห็นถึงปรัชญาด้านอุตสาหกรรมนาฬิกาของ Oris และคุณค่าอันเป็นนิรันดร์ของนาฬิกาจักรกลสวิส หน้าปัดบรอนซ์ผ่านกระบวนการทางเคมี และเคลือบด้วยแลคเกอร์ใส เพื่อรังสรรค์ให้หน้าปัดบรอนซ์ในนาฬิกาแต่ละเรือน มีลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียวเฉพาะตัว อีกหนึ่งสัญลักษณ์ในครั้งนี้ของรูปแบบดีไซน์นาฬิกาที่พิเศษ เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง’

หนึ่งในบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจในช่วงทศวรรษ 1980 ดร.รอล์ฟ พอร์ตแมนน์ (Dr Rolf Portmann) ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัย 90 ปี วันนี้ประธานบริษัทกิตติมศักดิ์ของ Oris จะมาแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจของเขา

 

บุรุษผู้ปกป้องโอริส

ในวัยเข้าสู่ปีที่ 90 ประธานบริษัทกิตติมศักดิ์ของโอริส ดร. รอล์ฟ พอร์ตแมน (Dr. Rolf Portmann) มองย้อนกลับไปสู่ปี 1956 เมื่อเขาได้ร่วมงานกับบริษัท และเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพของเขา ในการวางแนวทางของโอริส ให้กลายมาเป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาสวิสอิสระอย่างในทุกวันนี้

ช่วยเล่าให้เราได้ทราบถึงงานของคุณกับโอริส
ผมเริ่มต้นงานของผมที่โอริสในฐานะทนายความในปี 1956 ความตั้งใจของผมคือไม่ได้ตามหาตำแหน่งในอุตสาหกรรมนาฬิกาในขณะนั้น ผมได้รับการจ้างงานเพื่อต่อสู้กับมติเพื่อการปกป้อง หรือกีดกันของรัฐบาลกลาง ที่รู้จักในชื่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับนาฬิกาสวิส ซึ่งป้องกันโอริสไม่ให้ผลิตเฟืองโยกเอสเคปเม้นท์ของนาฬิกา มันเป็นการแทรกแซงด้านการพัฒนาของบริษัท รวมถึงภาคอุตสาหกรรมนาฬิกาทั้งหมดด้วย มันเป็นหน้าที่ของผมในการที่จะโน้มน้าวเหล่านักการเมืองสวิสในการยกเลิกข้อบังคับนั้น หลังจากที่ผมประสบความสำเร็จ ผมได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเลขานุการบริหารระดับสูง ส่วนใหญ่แล้วนั่นหมายความถึง การทำงานในสายการผลิต ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และการบริหารทรัพย์สินองค์กร

สถานะของบริษัท และอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ในขณะที่คุณเข้าซื้อกิจการของโอริส?
ในปี 1971 โอริสถูกขายให้กับ General Watch ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ASUAG Group ในขณะเดียวกัน ผมก็ดำรงตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูงของโอริส กลุ่มบริษัทได้เข้าซื้อบริษัทนาฬิกาต่างๆ อย่างตรงๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าส่วนต่างๆทั้งหมดนั้น จะเหมาะสมเข้าด้วยกันได้อย่างไร และวัตถุประสงค์ของพวกเขาคืออะไร ในเวลานั้นเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ทำให้ตลาดการค้าทั่วโลกมีความสั่นคลอน และบางบริษัทก็ต้องปิดตัวลง ในขณะเดียวกันค่าเงินฟรังก์ของสวิสก็แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สหรัฐอเมริกาล้มเลิกมาตรฐานทองคำ และยิ่งไปกว่านั้นนาฬิกาควอทซ์จากตะวันออกไกลก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ปัจจัยเหล่านี้ได้นำไปสู่สภาวการณ์ที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส ธนาคารต่างๆ ได้ควบรวมกิจการอุตสาหกรรมนาฬิกา โดยการจัดตั้ง ASUAG และ SSIH ให้เป็นสองกลุ่มบริษัทหลัก หลังการปรับโครงสร้างองค์กร ASUAG ได้วางแผนที่จะปิดกิจการของโอริส ทว่าในปี 1982 พวกเขาปล่อยให้ผมมีโอกาสในการเข้าซื้อกิจการต่อ พร้อมด้วยฝ่ายบริหารการขาย ฝ่ายสินค้าคงคลัง และฝ่ายผลิตทั้งหมด ผมจึงรับโอกาสนั้นมา

อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจในการทำเช่นนั้น?
ผมมีความเชื่อมั่นที่แรงกล้าในโอริส ผมเชื่อมั่นว่าโอริสเป็นแบรนด์ที่ยอดเยี่ยม มีสถานะที่แข็งแกร่งในบางตลาดการค้า และมีคุณภาพที่ใช่ นอกจากนี้โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีส่วนร่วมอย่างมากกับบริษัท แต่ผมก็รู้ตัวดีว่า ผมไม่ใช่ ‘นักการตลาด’ ผมเป็นคนที่รอบด้าน ผมต้องอาศัยคนที่มีทักษะความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยผม เพื่อที่จะเปลี่ยนให้วิสัยทัศน์ของผมในการรวมกลุ่มของโอริสขึ้นใหม่ ให้กลายมาเป็นความจริง ผมพบคนเหล่านั้นในบรรดาพนักงานจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุลริค ดับบลิว เฮอร์ซ็อก (Ulrich W. Herzog) ผู้ที่จะมาเป็นผู้บริหารดำเนินบริษัทต่อไป ด้วยพวกเขาเหล่านั้น เราจะนำโอริสให้กลับมาอยู่บนเส้นทางที่ประสบความสาเร็จอีกครั้ง

อะไรคือวิสัยทัศน์ที่คุณตั้งไว้สำหรับบริษัท?
มันชัดเจนมาก เราจำเป็นต้องกอบกู้แบรนด์ เราจำเป็นต้องอยู่รอดให้ได้

ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 โอริสได้ตัดสินใจที่จะผลิตเฉพาะนาฬิการะบบจักรกลเพียงอย่างเดียว เพราะอะไร?
เราเชื่อว่า เราเป็นนาฬิกาจักรกลมาโดยตลอด และไม่มีความต้องการที่ทำนาฬิการะบบควอทซ์ เรารู้ว่าเรามีความเข้าใจในเรื่องของนาฬิกาจักรกล เรามีความเชื่อมั่นในเชิงบวกว่า ยังคงมีกลุ่มคนทั่วโลกที่ชื่นชอบในคุณค่าของประดิษฐกรรมที่ทำด้วยมือ ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์

ความเป็นอิสระที่คุณรักษาไว้นั้น มีคุณค่าอย่างไรต่อบริษัท?
การฟื้นคืน ความเป็นเอกเทศ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเรา เนื่องจากตำแหน่งของเราในกลุ่ม เราเคยถูกจำกัดในสิ่งที่เราสามารถที่จะพัฒนาทางด้านเทคนิค เพื่อที่จะฟื้นฟูจิตวิญญาณของการสร้างสรรค์ ที่บริษัทได้เคยสร้างมา เราจำเป็นต้องได้รับความเป็นอิสระของเรากลับคืนมา

อะไรที่เกี่ยวกับ นาฬิการุ่น Oris Big Crown ที่ยังคงมีความเชื่อมโยงกันอยู่?
แม้ว่าเราไม่ต้องการนาฬิกาที่เราสามารถใช้งาน ขณะสวมใส่ถุงมืออีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่แนวความคิดของมันนั้นยังมีความเย้ายวนใจ ซึ่งผมคิดว่าผู้คนชื่นชอบ และการออกแบบที่เรียบง่าย สง่างาม ที่อ่านเวลาได้ง่าย ก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอยู่เสมอ ในทางเดียวกัน ผมรู้สึกประหลาดใจที่มันยังคงได้รับความนิยมอยู่ แต่โดยพื้นฐานแล้ว นาฬิการุ่น Big Crown เป็นรูปแบบดีไซน์ที่สมเหตุสมผล นั่นคือแนวทางของโอริส และผู้บริโภคก็ชื่นชอบ

เพราะเหตุใดจึงเลือกใช้วัสดุบรอนซ์สำหรับนาฬิการุ่นใหม่?
ในโลกแห่งความสมบูรณ์แบบทางด้านการบำรุงรักษา และวิวัฒนาการด้านดิจิตอล ผู้คนชื่นชมในวัตถุที่บอกเล่าเรื่องราวของตัวมันเอง ดั่งเช่นการขึ้นคราบของนาฬิกาตามการใช้งาน นั่นก็คือ การบอกเล่าเรื่องราวของตัวมันเอง

อะไรคือความทรงจำเกี่ยวกับโอริส ที่คุณภูมิใจมากที่สุด?
การปกป้องรักษาบริษัทด้วยการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่ออกมาจากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมพึงพอใจมากที่สุด

ขอแสดงความยินดีในวาระครบรอบวันเกิดในปีที่ 90! คุณจะทำอะไรเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง?
ผมจะฉลองวันเกิดของผมกับครอบครัวที่บาเซิล เราจะทานอาหารกลางวันร่วมกันอย่างมีความสุข และหลานๆ ของผม ก็ได้จัดเตรียมการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้ด้วย

นาฬิการุ่นใดที่คุณจะใส่ในวันนั้น?
รุ่น คาลิเบอร์ 110 สีทอง (ผลิตเมื่อปี 2014 ในโอกาสฉลองครบรอบ 110 ปีของโอริส ทำงานด้วยกลไกที่ผลิตขึ้นเองในโรงงานของโอริส) มันบอกเล่าเรื่องราวการฟื้นฟูของโอริส ในฐานะของผู้สร้างสรรค์กลไก มันได้พิสูจน์แล้วว่า มีความเที่ยงตรงที่สุด มันมีความสง่างาม และผมจะไม่ถอดมันออก – เว้นเสียแต่ว่าจะมีบางคนให้ของขวัญผมเป็นนาฬิกาเรือนใหม่ นั่นก็คือ…

 

สรรสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่น

 

นี่คือนาฬิกาบรอนซ์ที่แสดงเวลาและวันที่?

ใช่ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ ที่ทำให้เรื่องราวในอดีตของ Oris Big Crown Pointer Date นี้ก้าวล้ำไปไกลกว่าจำนวนรวมของชิ้นส่วนทั้งหมด

นาฬิกาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาข้อมือ จะอยู่ในสถานะไหนในทุกวันนี้ ถ้าปราศจากการบิน?

ในช่วงเริ่มต้นของการเดินทางทางอากาศยาน เป็นการประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการเดินทางทางทะเล การเมืองโลก การเคลื่อนไหวทางสังคม และอีกหลายด้านของชีวิต นอกจากนี้มันยังกระตุ้นความจำเป็นสำหรับอุปกรณ์ที่สวมใส่บนข้อมือ เพื่อติดตามเวลา และการวัดค่าการนำทางที่สำคัญอื่นๆ เช่น วัดหาตำแหน่ง การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และวัดความเร็วเฉลี่ย รูปแบบดีไซน์นาฬิกาข้อมือสำหรับนักบินในยุคเริ่มต้นนั้น จำเป็นต้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน เพื่อที่การคำนวณทุกอย่างสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แม้เพียงแค่เหลือบมอง อีกทั้งยังต้องปรับตั้งได้ง่าย ทนทาน และเชื่อถือได้ สร้างขึ้นเพื่อให้ทนต่อความผันผวนของเที่ยวบิน ที่รู้สึกได้ในห้องปฏิบัติการของนักบิน
โอริส ก่อตั้งขึ้นใน ปี 1904 และราว ปี 1910 ได้ผลิตนาฬิกาสำหรับนักบินขึ้นเป็นครั้งแรก หลุยส์ เบลเรียต (Louis Bleriot) ได้ทำการบินข้ามผ่านช่องแคบอังกฤษใน ปี 1908 หลังจากนั้นไม่นาน โอริสได้รังสรรค์นาฬิกาพก พร้อมสลักภาพเครื่องบินของเบลเรียตไว้บนตัวเรือน และตามมาใน ปี 1917 ด้วยการรังสรรค์นาฬิกาข้อมือสำหรับนักบินเรือนแรกของบริษัท เป็นผลงานอัจฉริยะที่จะสามารถปรับตั้งเวลาได้ ก็ต่อเมื่อปุ่มที่อยู่เหนือเม็ดมะยมถูกกดเปิดให้ใช้งาน และเมื่อสองปีที่ผ่านมา โอริสได้รังสรรค์อิดิชั่นพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบหนึ่งร้อยปี สำหรับนาฬิกาที่มีความโดดเด่นรุ่นนี้

สงครามกระตุ้นความก้าวหน้าในการออกแบบนาฬิกา เช่นเดียวกับการบิน ใน ปี 1938 โอริสได้ผลิตนาฬิกาที่ได้กลายมาเป็นที่รู้จักในนาม Big Crown Pointer Date มีเม็ดมะยมขนาดใหญ่กว่าปกติ ที่นักบินสามารถปรับตั้งเวลาได้ง่ายดาย แม้ขณะสวมใส่ถุงมือ มีตัวเลขอารบิคขนาดใหญ่ ทำให้สามารถอ่านเวลาได้อย่างรวดเร็ว วงแหวนขอบหน้าปัดแบบเซาะร่อง และเข็มนาฬิกาจากจุดศูนย์กลางที่มีปลายชี้บอกวันที่ มันมีความเรียบง่าย มีตรรกะ มีประโยชน์ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กว่าแปดทศวรรษที่ผ่านมา องค์ประกอบรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ยังคงไว้เช่นเดิมสำหรับนาฬิกา Big Crown Pointer Date แม้เวลาล่วงไป นาฬิการุ่นนี้ได้รับการปรับปรุงด้วยวัสดุ และกลไกจักรกล แต่จิตวิญญาณของการเป็นผู้บุกเบิกยังคงอยู่เหนือกาลเวลา ในวันนี้ นาฬิกา Oris Big Crown Bronze Pointer Date รุ่นใหม่ ยังคงสานต่อเรื่องราว ตัวเรือนผลิตด้วยบรอนซ์ วัสดุที่ทำให้ระลึกถึงรากแห่งอุตสาหกรรมนาฬิกาของโอริส และเมื่อเวลาผ่านไป จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการใช้งาน เพราะมีการขึ้นคราบเพื่อที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตนเอง ทั้งยังเป็นการเฉลิมฉลองบทบาทของนาฬิการุ่น Big Crown Pointer Date ที่ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในประวัติศาสตร์ของโอริส ซึ่งไม่เคยขาดหายจากการผลิต และได้กลายมาเป็นรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของโอริส บางคนถึงกับกล่าวไว้ว่า ถ้าปราศจากนาฬิการุ่นนี้ โอริสอาจจะไม่ได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขกับชื่อเสียงที่ได้รับ ในฐานะของบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาจักรกลสวิสอิสระคุณภาพสูง อย่างเช่นทุกวันนี้ กล่าวสั้นๆ ได้ว่า มันสรุปเรื่องราวทั้งหมดของโอริส

 

Oris Big Crown Bronze Pointer Date

เวอร์ชั่นใหม่ของประดิษฐกรรมแห่งเวลา ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโอริส มาในตัวเรือนวงแหวนขอบหน้าปัด และเม็ดมะยม ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยวัสดุบรอนซ์ พร้อมทั้งหน้าปัดบรอนซ์ ที่ผ่านกระบวนการทางเคมี จนทำให้เกิดคุณลักษณะที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวเฉพาะตัว ในนาฬิกาแต่ละเรือน

รายละเอียดนาฬิกา
ตัวเรือน บรอนซ์แบบประกอบหลายชิ้นส่วน
ขนาด 40.00 มิลลิเมตร (1.575 นิ้ว)
หน้าปัด บรอนซ์
วัสดุเรืองแสง ขีดบอกเวลา ตัวเลข และเข็มนาฬิกาแบบพิมพ์นูนเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova®
กระจกหน้าปัด แซฟไฟร์ โค้งรูปโดมสองด้าน เคลือบสารกันแสงสะท้อนด้านใน
ฝาหลัง สเตนเลสตีลแบบขันสกรู พร้อมกระจกมิเนอรัลเผยให้เห็นกลไกภายใน
อุปกรณ์ปรับตั้งเวลา เม็ดมะยมนิรภัยแบบขันเกลียวทำด้วยบรอนซ์
สายนาฬิกา หนังชามัวร์สีน้ำตาล พร้อมเฟืองล็อคสายทำด้วยบรอนซ์
การกันน้ำ 5 บาร์

กลไกนาฬิกา
หมายเลขเครื่อง Oris 754
ฟังก์ชั่น เข็มชั่วโมง เข็มนาที และเข็มวินาทีจากจุดศูนย์กลาง เข็มชี้บอกวันที่จากจุดศูนย์กลาง เปลี่ยนวันที่แบบฉับพลัน ปุ่มปรับวันที่ ปรับตั้งเวลาแบบละเอียด และหยุดเข็มวินาที
การขึ้นลาน ขึ้นลานอัตโนมัติ ด้วยจักรเหวี่ยงสีแดงสองทิศทาง™
พลังงานสำรอง 38 ชั่วโมง

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรคาเดโร ไทม์ โทร. 02-163-0555

เหมือนจันทร์ ศรีสอาด