TOP

ชวนเที่ยวญี่ปุ่นเมืองสกีรีสอร์ต สัมผัสช่วงเวลามหัศจรรย์ที่ Park Hyatt Niseko Hanazono

NISEKO เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีหิมะ หนานุ่ม ขาวเนียนละเอียด คุณภาพดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮอกไกโด ประกอบไปด้วยสกีรีสอร์ต 4 แห่ง คือ Hanazono, Grand Hirafu, Niseko Village และ Annupuri แต่ละแห่งล้วนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีระดับความยากง่ายให้เลือกเล่นตามทักษะของแต่ละคน

ไฮไลต์ของหน้าหนาวปีนี้คือ Louis Vuitton Pop-Up Store ที่ Park Hyatt Niseko Hanazono ใครเดินทางไปแถวนิเซโกะ ต้องแวะเวียนไปถ่ายรูปกับ LV Luxury Tent ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าลานสกี จุดนี้มีไว้ให้คนมายืนถ่ายรูปเก๋ ๆ ด้านนอกเท่านั้น ใกล้กันจะเป็นทางขึ้น Gondola ที่มีกระเช้า wrap หุ้มลาย Monogram ไว้เป็นกิมมิกอีกหนึ่งจุด คนที่สนใจ LV Ski Collection สามารถเข้าไปช้อปได้ที่ Pop Up Store ด้านในโรงแรม

ได้แรงจูงใจจาก Louis Vuitton ทริปนี้ แป๋มเลยมาพักที่ Park Hyatt Niseko Hanazono ซะเลย เป็นโรงแรมใหม่ใจกลาง Hanazono พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีสระว่ายน้ำในร่มยาว 25 เมตร พร้อมอ่างจากุซซี่, ฟิตเนสขนาดใหญ่, Sisley Spa และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมยังสามารถสกีเข้า-ออก (ski-in, ski-out) จากประตูได้เลย ในโรงแรมยังมีร้านอาหารถึง 9 แห่ง ทั้งฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี และจีน ให้เลือกรับประทานได้ไม่เบื่อ

ส่วนคนที่อยากไปชอปปิงหาอะไรรับประทานใน Hirafu ก็สามารถนั่ง Free Shuttle Bus ไปลงที่ Hirafu Center ประมาณ 20 นาที หรือสกีจากโรงแรมไปได้ไม่เกิน 10 นาที เผื่อเวลารอ Gondola บริเวณนี้ เหมาะสำหรับคนที่หัดเล่นสกี เพราะ Slope ตรงหน้าโรงแรมไม่ชันเลย ถ้าต้องการขยับไปเล่น Slope ที่ชันขึ้นก็สามารถซื้อตั๋ว All Moutain Pass ข้ามภูเขาไปได้ และยังมี Night Ski ให้ได้สกีชมบรรยากาศยามค่ำคืนอีกด้วย

 

ตัวตึกที่นี่จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนของโรงแรมและเรสซิเดนซ์ แป๋มพักอยู่ชั้น 7 ฝั่งเรสซิเดนซ์ เป็นยูนิตที่มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ห้องครัว โต๊ะรับประทานข้าวขนาด 8 ที่นั่ง และมีบ่อ Private Onsen อยู่ในห้องนอนใหญ่ ห้องรับแขกจะมีโซฟาที่ปรับเป็นเตียงนอนสำหรับ 2 คนได้ ห้องน้ำทั้ง 3 ห้องมีโซน Shower อาบน้ำได้ทุกห้อง ยูนิตนี้อยู่ได้ 6 คนสบาย ๆ สิ่งที่ดูเพลินทั้งวันไม่มีเบื่อคือ วิวทิวทัศน์ผ่านกระจกบานใหญ่สูงกว่า 2 เมตร ที่มองเห็นภูเขา Yotei และลานสกีด้านล่าง สวยงามเหมือนรูปวาดที่เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ระหว่างวัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

ทริปนี้อยากมาพักผ่อนเล่นสกี เลยจะรับประทานข้าวในโรงแรมเป็นส่วนใหญ่ จากร้านอาหารทั้ง 9 ร้าน แป๋มได้ลองไปแค่ 7 ร้าน เริ่มด้วย “The Lounge” ร้านกลางโรงแรมที่คนนิยมรับประทานเป็นอาหารจานเดียว เช่น ข้าวแกงกะหรี่ สลัด เบอร์เกอร์ ราเมง เหมาะกับการกินแบบครอบครัวหรือรับประทานแบบเร็ว ๆ ในมื้อกลางวัน “China Kitchen” อาหารจีนเสฉวนรสชาติจัดจ้าน โดยช่วงกลางวันจะเสิร์ฟเป็นเมนูติ่มซำ และช่วงเย็นจะเป็นเซตเมนูหม้อไฟให้คลายหนาว

 

“Robata” เป็นสไตล์การปรุงอาหารด้วยเตาถ่าน โดยจะเอากุ้ง หอย ปู ปลา หรือเนื้อวัว และผักตามฤดูกาล มาย่างเสิร์ฟ และยังมีชาบูชาบูหม้อไฟแบบญี่ปุ่น ให้ได้ซดน้ำซุปร้อน ๆ พร้อมเมนูเครื่องดื่มทั้งเบียร์ สาเก ไวน์ มาให้เลือกทุกรูปแบบ “Teppan” จัดเป็นร้านที่จองยากที่สุดในโรงแรม เชฟทำอย่างพิถีพิถันที่เคาน์เตอร์เทปปันให้ลูกค้าทีละกลุ่ม โดยใช้วิธีการปรุงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เพิ่มกลิ่นอายส่วนผสมอื่น ๆ จากฝรั่งเศส ในร้านยังมี Chief Sommelier ที่คอยแนะนำไวน์กว่า 700 ชนิดจากทั่วโลก ให้ลูกค้าอีกด้วย

“Olivio” เมนูอาหารอิตาเลียนคลาสสิก เช่น พิซซ่า สลัด พาสต้า ซึ่งแต่ละวันจะมีเมนูพิเศษที่เพิ่มวัตถุดิบท้องถิ่นมาให้ลิ้มลอง เช่น พาสต้าไข่หอยเม่น (Uni) บรรยากาศเหมาะสำหรับรับประทานกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง “Sushi Mitsukawa” ร้านซูชิติดดาวจากโตเกียว เป็นเคาน์เตอร์ 10 ที่นั่ง สามารถเลือกสั่งเป็นคอร์สซูชิอย่างเดียวหรือ Omakase ที่มีทั้งซูชิและ Appitizers ด้วยก็ได้ “Deli” ร้าน Showcase ของ Pierre Hermé เบเกอรี่สุดหรูจากฝรั่งเศส มีให้เลือกทั้งขนมเค้ก ขนมปัง และ Afternoon Tea Set ในราคาที่ถูกกว่าเบเกอรี่ตามห้างฯ บ้านเรา เดินผ่านทีไรต้องแวะซื้อติดมือตลอด และเป็นร้านสำหรับรับประทานอาหารเช้าใกล้ฝั่ง esidence ที่เสิร์ฟเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ ส่วนคนที่ชอบฟังดนตรีสด สามารถสั่งเครื่องดื่มฟังเพลงได้ที่ “The Bar & Cigar Lounge” ตั้งแต่ 20.30 – 22.30 ของทุกวัน

ปิดท้ายด้วยการสั่งอาหาร In-Room Dining ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีเมนูให้เลือกเยอะมาก ใช้เวลาเตรียมอาหาร 40 นาที รสชาติดี ราคาเป็นกันเอง แนะนำสั่งชุดอาหารเช้า PIERRE HERMÉ PARIS Le Petit Déjeuner เป็น Signature Breakfast ของ Park Hyatt Niseko จะมาพร้อมครัวซองต์ ขนมปัง แยม กราโนล่า ชาฝรั่งเศส และผลไม้ ในราคา 4,100 เยน

 

การเดินทางจากสนามบิน New Chitose (Sapporo) เที่ยวละ 2 ชั่วโมง เราจองรถตู้ Alphard พร้อมคนขับ ราคา 90,000 เยน เนื่องจากเวลาบินห่างกับตาราง Airport Bus Transfer ถ้ารอรถอาจจะเสียเวลาไปทั้งวัน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จัดเป็นพีคซีซั่นของที่นี่ทำให้ ตั๋วการบินไทยที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ราคาสูงมาก เราเลยนั่งสายการบิน Jal ที่บินจากกรุงเทพฯ แวะโอซาก้าประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วเปลี่ยนเครื่องไปลงที่ซัปโปโร ข้อดีของการนั่ง JAL คือราคาตั๋วถูกกว่า 40% (เทียบราคาตั๋วชั้นธุรกิจเหมือนกัน) และขากลับออกจากซัปโปโรตอน 6 โมงเย็นทำให้วันสุดท้ายเราได้ใช้เวลาเกือบเต็มวันที่นั่น หรือจะแวะเที่ยวโอซาก้าอีกหลายวันก่อนกลับกรุงเทพฯ ก็ยังได้ ส่วนข้อเสียคือจากกรุงเทพฯ ถึงโอซาก้า เราต้องรับกระเป๋าที่สายพาน แล้วเอากระเป๋าขึ้นไปโหลดที่เคาน์เตอร์เช็กอินสำหรับไฟลต์ในประเทศใหม่อีกครั้ง ส่วนขากลับสามารถโหลดกระเป๋าทีเดียวมาถึงกรุงเทพฯ เลย

 

OUR INFLUENCER
คุณปิยะดา ปุณณกิติเกษม
เจ้าของเพจ PPGALLERY (พีพีแกลเลอรี่)

ในช่องทาง Instagram: @ppgallery
และ Facebook: PPGALLERY
www.ppgallery.net

เหมือนจันทร์ ศรีสอาด