TOP

ท่องเที่ยวเมืองสุดโรแมนติก ‘ซานฟรานซิสโก’ กับ PP Gallery

เข้าสู่ฤดูหนาวกันอีกครั้ง หลายคนคงกำลังมองหาประเทศที่เที่ยวแบบไม่ต้องกักตัวทั้งไปและกลับ เดือนนี้เลยขอพาเพื่อนๆ มาเที่ยว ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติก อากาศเย็นสบายตลอดปี ต่อด้วยการขับรถไปกินอาหารดื่มไวน์ ชมธรรมชาติอันสวยงามที่ Napa Valley ทริปนี้เดินทางเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020 จะว่าไปก็เกือบ 2 ปีที่พาสปอร์ตไม่ได้ใช้งาน ต้องมารื้อฟื้นการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ร้านอาหารกันหน่อย แป๋มเลือกเดินทางด้วยสายการบิน Singapore Airline (เนื่องจากอเมริกาไม่มีเที่ยวบินตรง) ลงที่เมืองซานฟรานซิสโก เมืองยอดนิยมแห่งหนึ่งของคนไทย มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมให้ทำเยอะมาก มีร้านอาหารหลากหลายสัญชาติให้เลือกนับไม่ถ้วน การเดินทางสะดวกสบายไม่ว่าจะเช่ารถขับเองหรือเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ

 

หลังจากลงเครื่องก็แวะรับรถเช่าที่สนามบิน เป็นรถ Ford Mustang เปิดประทุน ได้ค่าเช่ารวมประกันชั้นหนึ่ง ตกวันละประมาณ 5,000 บาท แล้วเข้าเช็คอินที่โรงแรม St.Regis San Francisco ที่ตั้งอยู่กลางเมือง สำหรับเพื่อนๆ ที่เช่ารถขับ แนะนำให้พักโรงแรมที่ไกลออกไปหน่อย ราคาจะย่อมเยาว์กว่า

มื้อเช้าวันแรก ไปรับประทานอาหารเช้าที่ ‘Sweet Maple’ คิวยาวมาก ขอแนะนำเมนูเบคอนทอด อร่อยลืมสุขภาพเลย จากนั้นไปที่ ‘Golden Gate Bridge’ สะพานสีแดงอมส้มเป็นเสมือนสัญลกัษณ์ของเมือง ที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างเมือง Marin County และ San Francisco Bay สะพานแห่งนี้ทาเป็นสีแดง เพื่อให้ตัดกับวิวโดยรอบ และน้ำสีฟ้าของมหาสมุทร มองเห็นชัดเจนทุกฤดูกาล

‘Fisherman’s Wharf’ ท่าเรือประมงอันเก่าแก่ที่ใช้ในการขนถ่ายปลาและอาหารทะเลมาตั้งแต่ในอดีต ปัจจุบันกลายเป็นที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อโดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบอาหารทะเล มีให้เลือกทั้งกุ้งล็อบสเตอร์ ปลา หอย ปลาหมึก และที่พลาดไม่ได้คือ Dungeness Crab ปูท้องถิ่น เนื้อแน่นเต็มปากเต็มคำ และซุปหอยลายที่เสิร์ฟมาในถ้วยที่ทำจากขนมปัง Sourdough

เดินต่อไปที่ ‘Pier 39’ เพื่อไปดูเจ้าสิงโตทะเลนอนอาบแดด วันนั้นน้องคงไปว่ายน้ำเล่นอยู่ เห็นนอนอาบแดดอยู่ไกลๆ ไม่กี่ตัวเอง ด้วยความเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เวลาเดินทางไปต่างประทศจะชอบไปแวะชมบรรยากาศ และรับประทานอาหารจีนที่ ไชน่าทาวน์ แต่ช่วงนั้นโควิดเริ่มระบาด เลยอดไป ถ้าเพื่อนๆ แวะไปฝากกินบะหมี่เกี๊ยวเผื่อด้วยนะคะ

 

สำหรับร้านอาหารที่ประทับใจมากๆ ของเมืองนี้คือ Benu Restaurant ที่ผสมผสานอาหารเกาหลีและจีนกวางตุ้งเข้าด้วยกัน โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและเทคนิคแบบตะวันตก อาหารอร่อยมาก รสชาติมีเอกลักษณ์ จัดแต่งจานอย่างพิถีพิถัน ควรค่าแก่การจองคิวล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน

 

จากนั้นเราขับรถไปต่อที่ Napa Valley หุบเขาทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ห่างจากซานฟรานซิสโกประมาณชั่วโมงกว่าๆ เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ด้วยสภาพภูมิอากาศและพื้นดินที่เหมาะแก่การปลูกองุ่นพันธุ์ดี เมืองนี้ไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ไฮซีซั่นจะเป็นช่วงพฤศจิกายน – มกราคม ร้านอาหารหลายร้านจะทำเมนูพิเศษสำหรับดินเนอร์ช่วงเทศกาลสำคัญ ทั้ง Thanksgiving, Christmas, New Year ยาวไปจนถึง Valentine’s เสิร์ฟพร้อม Wine Pairing ในราคาพิเศษ สำหรับคนที่ไม่ดื่มไวน์ ก็สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์และบรรยากาศได้ จะตีกอล์ฟ ปีนเขา หรือเรียนทำอาหารก็มีให้เลือกหลายที่

ทริปนี้เราพักกันที่ Meadowood Napa Valley ใชอภิสิทธิ์การจองห้องพัก 1 คืนแถม 1 คืน ฟรีอัพเกรดห้องพักจากบัตรฯ Citi Ultima บัตรฯ ที่คุ้มสุดๆ ทุกการเดินทาง ห้องพักที่นี่จะเป็นบ้านหลังๆ กระจายออกไป ในห้องตกแต่งแบบเรียบง่าย สีโทนอบอุ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถขับรถไปจอดหน้าบ้านพักได้ มีสนามกอล์ฟ สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และร้านอาหาร The Restaurant at Meadowood ในโรงแรม ซึ่งเป็นร้านที่ได้รางวัล 3 Michelin Star 1 ใน 2 ร้านของเมืองนี้ ส่วนอีกร้านคือ The French Laundry ก็จัดเป็นร้านในตำนานแห่งหนึ่งโดย Chef Thomas Keller แนะนำให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนค่ะ

สำหรับคนที่ชอบดื่มไวน์ สามารถจอง Wine Tasting ตาม Winery ต่างๆ เพื่อชิมไวน์จากองุ่นหลายพันธุ์และผลผลิตที่รสชาติต่างกันในแต่ละปี โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยเล่าถึงประวัติความเป็นมาสายพันธ์องุ่น ภูมิอากาศ เทคนิคการบ่ม ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้ไวน์รสชาติดีและมีราคาสูง รวมถึงการออกไปชมธรรมชาติ ทิวทัศน์ไร่องุ่นที่สวยงาม ชิมอาหารท่ามกลางธรรมชาติสดชื่น

 

เริ่มจาก ‘Robert Mondavi’ (โรเบิร์ต มอนดาวี) หนึ่งในโรงกลั่นไวน์ที่มีชื่อเสียงของ Napa Valley โดยมีไร่องุ่นชื่อ ‘To Kalon’ ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีผลผลิตองุ่น Cabernet Sauvignon ที่ดีที่สุดในแถบอเมริกาเหนือ คอไวน์ทั่วโลกรวมไปถึงคนไทยคงรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ‘Opus One’ ที่เกิดจากการร่วมมือกันของ Robert Mondavi และ Baron Philippe de Rothschild จากแคว้น Bordeaux ซึ่งถูกผลิตขึ้นในปี 1979 เป็นปีแรก

ต่อด้วย ‘Joseph Phelps’ ไร่องุ่นของตระกูล Phelps ในเขต Sonoma Coast โดยมี ‘Insignia’ ไวน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากรางวัล Wine of The Year ของ Wine Spectator Magazine ในปี 2005 และได้ Rating 100 แต้มจาก Robert Parker Wine Advocate ของวินเทจ 1991, 1997, 2002, 2007 ถือเป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่น Cabernet Sauvignon ที่ดีทีสุดในโลกตัวหนึ่ง

ปิดท้ายด้วย ‘Hyde de Villaine’ ไร่องุ่นขนาดเล็กที่กำลังมาแรง จากความร่วมมือกับ Aubert De Villaine ผู้ร่วมก่อตั้งโรงผลิตไวน์ที่ดีที่สุดในโลก ‘Domaine De La Romanee Conti’ จากแควน้ Burgundy ประเทศฝรั่งเศส โดยนำเทคนิคการผลิตไวน์จากองุ่นพันธุ์ Pinot Noir ในฝรั่งเศสมาใช้กับพื้นที่เพาะปลูกใน Napa Valley

 

OUR INFLUENCER
คุณปิยะดา ปุณณกิติเกษม
เจ้าของเพจ PPGALLERY (พีพีแกลเลอรี่)

ในช่องทาง
Instagram: @ppgallery
 Facebook: PPGALLERY
www.ppgallery.net

เหมือนจันทร์ ศรีสอาด