TOP

41 ภาพไฮไลท์ #Wonderfruit2019 ที่สุดแห่งความประทับใจเมืองในอุดมคติตามวิถีความยั่งยืน

เฟสติวัลระดับโลกโดยคนไทย จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองงานศิลปะ ดนตรี อาหาร และไอเดียสร้างสรรค์ ฉลองความสำเร็จต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ผ่านการสร้างสรรค์ “ป๊อปอัพซิตี้” เมืองในอุดมคติตามวิถีความยั่งยืน สู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงในแง่บวกอย่างแท้จริง สร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าวันเดอเรอร์กว่า 15,000 ราย จากทั่วโลก มีส่วนร่วมในการทำสิ่งที่ดีให้กับโลกใบนี้ไปด้วยกัน พร้อมลองสัมผัสวิถีชีวิตแห่งความยั่งยืนภายในป๊อปอัพซิตี้ เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ของวันเดอร์ฟรุ๊ต ผ่านประสบการณ์ทั้ง 6 แขนง ได้แก่ ศิลปะและสถาปัตยกรรม ดนตรี ฟาร์มทูฟีสต์ ทอล์คและเวิร์คช็อป กิจกรรมเพื่อสุขภาพ รวมถึงกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อครอบครัว 

พีท-ประณิธาน พรประภา ผู้ก่อตั้ง วันเดอร์ฟรุ๊ต กล่าวว่า “ในปีนี้ เราได้ก้าวไปอีกขั้นในการสานต่อความตั้งใจสู่วิถีชีวิตแบบยั่งยืน ผ่านการออกแบบทุกองค์ประกอบพื้นฐานของเมืองด้วยแนวคิดใหม่ๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจ และมีประสิทธิภาพ พร้อมมุ่งสู่เป้าหมาย zero-waste ด้วยการใช้นโยบายงดเว้นแก้วพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ เรายังตั้งใจสร้างสรรค์วันเดอร์ฟรุ๊ตให้เป็นพื้นที่ที่รวบรวมประสบการณ์หลากหลายที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ราวกับเป็นเฟสติวัลย่อยๆ ในงาน ให้วันเดอเรอร์ได้สัมผัส เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนร่วมทำสิ่งดีๆ ไปด้วยกัน”

 

แนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในปีนี้ วันเดอเรอร์ได้มีส่วนร่วมชดเชยคาร์บอนที่ผลิตขึ้นจากการเดินทางมาร่วมงาน โดยคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านเว็บไซต์ของวันเดอร์ฟรุ๊ต และชดเชยด้วยการสนับสนุนคาร์บอนเครดิตของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ วันเดอเรอร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของป๊อปอัพซิตี้แห่งความยั่งยืนในทันทีที่เดินทางมาถึง เริ่มจากนโยบายงดเว้นแก้วพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งที่นำมาใช้อย่างเข้มงวดเป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยเหล่าวันเดอเรอร์ต่างพร้อมใจกันเตรียมภาชนะบรรจุเครื่องดื่มติดตัวมาเพื่อใช้ในงาน และสามารถเติมน้ำดื่มฟรีและล้างทำความสะอาดภาชนะได้ตามจุดบริการที่วันเดอร์ฟรุ๊ตเตรียมไว้เพื่ออำนวยความสะดวกอีกด้วย

เพื่อก้าวสู่การเป็นเฟสติวัลปลอดคาร์บอน วันเดอร์ฟรุ๊ตยังใช้นโยบายการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยขยะในงานได้รับการแยกประเภทอย่างเป็นระบบ และนำไปบริหารจัดการด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ตามแนวคิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน กว่า 95% ของขยะที่เกิดขึ้นในงานถูกนำไปใช้ต่อในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเศษอาหารและภาชนะบรรจุอาหารที่ย่อยสลายได้ถูกนำไปทำปุ๋ยหมักใช้ในภาคเกษตรกรรม กล่องขวดน้ำวันเดอร์ฟรุ๊ต ถูกนำไปรีไซเคิลทำกระเบื้องมุงหลังคาและแผ่นกระดาน (eco-board) ใช้ในชุมชน ในขณะที่ขยะรีไซเคิลได้รับการส่งต่อไปยังโรงงานเพื่อผลิตใหม่ ขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ก็ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกในโรงปูนทดแทนพลังงานถ่านหิน ส่วนลูกมะพร้าวก็ถูกนำไปย่อยสลายตามวิธีธรรมชาติที่บริเวณจัดการขยะภายในงาน

นอกเหนือจากความมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริงแล้ว วันเดอร์ฟรุ๊ตยังได้คัดเลือกประสบการณ์แปลกใหม่และหลากหลายอย่างพิถีพิถัน ให้วันเดอเรอร์ได้สัมผัสเช่นเดียวกับทุกปี โดยในปีนี้ มีไฮไลท์ใหม่ล่าสุด ลิฟวิ่ง วิลเลจ (Living Village) ที่นำเอาประสาทสัมผัสต่างๆ ของร่างกายมนุษย์มาเป็นคอนเซ็ปท์หลักในการออกแบบ ผสานกับวัสดุอัพไซเคิลและรีไซเคิล หมู่บ้านขนาดย่อมแห่งนี้ได้พาวันเดอเรอร์มาสัมผัสกับประสบการณ์วันเดอร์ฟรุ๊ตที่หลากหลายยิ่งขึ้น ในพื้นที่เดียวที่เต็มไปด้วยสีสันจากดนตรี เวิร์กช็อป อาหาร และประสบการณ์ที่น่าสนใจ พร้อมด้วยเวทีแห่งใหม่ Creature Stage with Indorama Ventures ที่ตกแต่งแต่งโครงสร้างเพดานด้วยผ้าสีสันสดใสที่ทอด้วยเส้นใยรีไซเคิลจากขวดพลาสติก PET มีศิลปินชั้นนำจากทั่วโลกมาร่วมเติมเต็มความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น GoGo Penguin, Beardyman, The Turbans และอื่นๆ

สำหรับดนตรีในปีนี้ มีไฮไลท์อย่าง Musicity โปรเจ็กต์ดนตรีระดับโลก โดยศิลปินจากสังกัด Erased Tapes จากอังกฤษ ร่วมกับศิลปินไทย นำผลงานเพลงที่แต่งขึ้นใหม่โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่สำคัญต่างๆ ของกรุงเทพฯ มาแสดงเป็นครั้งแรกที่เธียร์เตอร์ สเตจ (Theatre Stage) นอกจากนี้ยังจัดเต็มด้วยประสบการณ์ดนตรีมากมายทั้ง โซลาร์ สเตจ (Solar Stage) ออกแบบโดย Gregg Fleishman ซึ่งเป็นเวทีไฮไลท์ที่วันเดอเรอร์ได้มาชมบรรยากาศแสงแรกและแสงสุดท้ายของวัน พร้อมเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีจาก Acid Pauli, Daddy G (massive attack), Four Tet และอื่นๆ โพลิกอน (Polygon) จัดหนักด้วยระบบเสียงและวิชวลรอบทิศทาง พร้อมไลน์อัพศิลปินนานาชาติที่คัดเลือกมาเป็นอย่างดี อาทิ Timboletti, Be Svendsen และ Viken Arman ด้านเดอะ ควอรี่ (The Quarry) มาพร้อมกับโปรเจกต์ “Collisions” โดย Craig Richards ให้วันเดอเรอร์ได้เปิดประสบการณ์ทางดนตรีที่แปลกใหม่ จากซาวด์ดนตรีของ Bobby., Felix Dickinson, Sonja Moonear และศิลปินอีกมากมาย ที่เล่นเพลงจากด้านหลังจอโมชั่นกราฟิกสุดล้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกค่ำคืนที่ ฟอร์บิดเดน ฟรุ๊ต (Forbidden Fruit) ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาแดนซ์กันอย่างสนุกสนานกับทีมศิลปินที่เข้ามาเทคโอเวอร์ นำโดยทีมศิลปินไทย Go Grrrls Crews ทีมศิลปินฝรั่งเศสจาก Ed Banger Records และทีมดีเจจาก Rainbow Disco Club จากญี่ปุ่น ในขณะที่เวที เนรมิต (Neramit) มาพร้อมกับดนตรีหลากหลายแนวเพลงจากการเทคโอเวอร์โดยค่ายเพลงสุดแรงม้า ด้านเอส โอ ที (SOT) ได้พาวันเดอเรอร์ไปมันส์กับไลน์อัพศิลปินจากค่าย Def Jam Thailand และเหล่าดีเจผู้ชนะจากเวที Red Bull 3Style รวมถึงศิลปินแนวเออร์บันชั้นนำอีกมากมายที่ได้มาร่วมเขย่าเวทีให้คึกคักตลอดเฟสติวัล

 

เธียร์เตอร์ ออฟ ฟีสต์ (Theatre of Feast) ออกแบบโดย Ab Rogers กลับมาบอกเล่าแนวคิดความยั่งยืนผ่านเรื่องราวของอาหาร ทุกเมนูล้วนแต่ผสานวัตถุดิบจากท้องถิ่นเข้ากับไอเดียแปลกใหม่ นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สร้างความประทับใจให้กับวันเดอเรอร์ โดยมีเชฟชั้นนำมากมายมาร่วมในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น bo.lan ที่ร่วมมือกับ Rishi Naleendra จากสิงคโปร์ เชฟโจและเชฟซากิ จากร้าน 80/20 เชฟ DK จากร้าน Haoma เชฟสามแม่ครัวจากร้านโคอิตรัง ตรัง Tanya’s Homemade Eatery หัวหิน และ Blackitch เชียงใหม่ สำหรับวันเดอร์ คิทเช่น (Wonder Kitchen) เชฟหนุ่มจากร้านซาหมวย แอนด์ ซัน อุดรธานี ได้พาวันเดอเรอร์มาลิ้มลองอาหารอีสานโมเดิร์นผสานภูมิปัญญาพื้นบ้าน ในขณะที่เชฟแรนดี้จากร้าน Fillets หลังสวน ได้จัดคอร์สโอมากาเสะโดยใช้ปลาจากท้องทะเลไทย

 

สแครทช์ ทอล์ก (Scratch Talks) กลับมาอีกครั้งที่ อีโค่ พาวิลเลียน (Eco Pavilion) นำวันเดอเรอร์มาเปิดมุมมองใหม่ๆ จากเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ ของผู้นำทางความคิดจากทั่วโลก ภายใต้ธีมหัวข้อ LIVE, LOVE และ WONDER เป็นครั้งแรกในวันเดอร์ฟรุ๊ต กับการเปิดเวทีดีเบตโดยนำผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบันมาร่วมถกประเด็นจุดประกายไอเดียสร้างความเปลี่ยนแปลงในแง่บวก ไม่ว่าจะเป็น Weed Legalisation 101 panel, Innovating Alternative Proteins panel และ The Great Plastic Debate panel

ที่วันเดอร์เนส (Wonderness) เหล่าวันเดอเรอร์ได้รับพลัง พร้อมปรับสมดุลร่างกายและจิตใจผ่านเวิร์กช็อป ในรูปแบบต่างๆ โดยในปีนี้มีกิจกรรมที่นำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาผสมผสาน เช่น “ย่ำขาง” ศาสตร์บำบัดไทยล้านนาที่ใช้ไฟในการนวดรักษา การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจด้วยคลื่นเสียงจากการตีฆ้อง (sound bath) ที่ผสานการเจริญสติแบบพุทธ ศาสตร์การรักษาและพืชสมุนไพรจากมรดกภูมิปัญญาอเมริกาใต้ (Approaching to Andean Amazonian Culture) และเวชบำบัดตามวิธีธรรมชาติของหมู่เกาะแปซิฟิก (Kava Ceremony) รวมถึงการออกกำลังกายทั้งในแนวประยุกต์และร่วมสมัย เช่น การประยุกต์รำไทยกับคาร์ดิโอ (Thai Dancercise) ไปจนถึงการฝึกควบคุมลมหายใจ (breathwork)

ด้านวันเดอเรอร์ตัวน้อยก็ได้ออกสำรวจประสบการณ์ใหม่ที่ แคมป์ วันเดอร์ (Camp Wonder) กับครอบครัว พร้อมแสดงความสามารถบนเวทีขนาดย่อมที่เปิดให้วงดนตรีของเด็กๆ ได้โชว์ฝีมือ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมฟาร์มทัวร์ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ชีวิตสัตว์โลก รวมถึงกิจกรรมวาดรูปด้วยสีจากธรรมชาติให้เติมแต่งตามจินตนาการได้ตามใจชอบ

วันเดอร์ฟรุ๊ตปีที่ 6 ได้ปิดฉากไปแล้วอย่างสวยงาม ด้วยประสบการณ์และไอเดียแปลกใหม่มากมายที่วันเดอร์ฟรุ๊ตได้นำเสนอให้กับวันเดอเรอร์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะจดจำความทรงจำที่น่าประทับใจนี้ไว้ และเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในแง่บวกให้กับโลกใบนี้ต่อไปในชีวิตประจำวัน

เตรียมพร้อมออกเดินทางครั้งใหม่กับ #Wonderfruit2020 ในเดือนธันวาคมนี้ ณ เดอะฟิลด์ แอท สยามคันทรีคลับ พัทยา

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานและบัตรเฟสต่อไป

www.wonderfruit.com

ชลธิช วรรณอุบล I บรรณาธิการดิจิทัล