TOP

ทำความรู้จัก พระเอกหน้าใส อิน สาริน รณเกียรติ ดาวรุ่งอนาคตไกลที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนี้

แม้จะเพิ่งเริ่มต้นก้าวเดินบนเส้นทางบันเทิงได้ไม่นานนัก แต่ อิน – สาริน รณเกียรติ ก็ฉายแววความเป็นนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งอนาคตไกล ด้วยฝีไม้ลายมือที่เกือบจะเทียบชั้นรุ่นพี่ การันตีได้จากผลงานการแสดงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะล่าสุดกับละครที่กำลังออนแอร์อยู่ 2 เรื่อง คือ ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง และ ซีรี่ย์ลูกผู้ชายเรื่อง ภูผา บวกดำิกับหน้าตาที่หล่อใสมัดใจสาวน้อยสาวใหญ่ให้ตกหลุมรักได้อย่างไม่ทันตั้งตัว นั่นจึงทำให้ AROUND ฉบับเดือนแห่งความรักนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขาคนนี้…

เมื่อสิ้นเสียงรัวชัตเตอร์และเสียงปรบมือของทีมงาน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าการถ่ายแบบได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้กันให้ดียิ่งขึ้น โดยเขาได้เริ่มต้นพูดถึงที่มาที่ไปของอาชีพการเป็นนักแสดงให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ช่วงที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมได้มีผู้ใหญ่มาทาบทามให้เข้ามาชิมลางงานในวงการบันเทิงได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ในเวลานั้นเขายังไม่ได้สนใจในอาชีพนี้ จนกระทั่งถึงช่วงที่เรียนจบและกำลังจะต้องเริ่มต้นชีวิตการทำงานจริงๆ “พอจะต้องเริ่มต้นทำงานจริงๆ ก็มีความรู้สึกว่าต้องกลับไปใช้ชีวิตเป็นสถาปนิก ซึ่งเราก็ไม่อยากพลาดโอกาส เลยขอลองเข้ามาแคสติ้ง แล้วตอนนั้นช่อง 3 กำลังมีโปรเจ็กต์แคสนักแสดงใหม่อยู่แล้ว ก็ไปแคสอยู่ครึ่งปี แล้วก็ได้มาถ่าย ในตอนนั้นก็รู้เลยครับว่ามันลองเล่นๆ ไม่ได้แล้ว เราคงต้องจริงจังกับงานนี้แล้ว”

หลังจากที่ได้เริ่มเข้ามาทำความรู้จักกับการเป็นนักแสดง ก็ทำให้เขาได้ค้นพบเสน่ห์ของอาชีพนี้ที่ทำให้เกิดความรักได้ในที่สุด “อินว่าเสน่ห์ของอาชีพนักแสดงมี 2 อย่างนะครับ อย่างแรกคือบทละคร บทประพันธ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละเรื่องที่เราได้รับ ซึ่งพอเราได้รับคาแรกเตอร์ที่หลากหลาย ก็ทำให้เราเกิดหลงรัก เพราะได้เห็นคนในหลายๆ รูปแบบ ได้เห็นเสน่ห์ของความเป็นคน เป็นมุมมองที่มากขึ้น ส่วนอย่างที่ 2 ก็คือการทำงานในวงการ เราจะได้เจอคนมากมายหลายแบบ ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้ทำความเข้าใจคนมากขึ้น
และกับการทำงานในซีรี่ย์สุภาพบุรุษ เรื่องภูผา ซึ่งเป็นเรื่องแรกของผมที่ทำการถ่ายทำ ก็ทำให้ผมเข้าใจการเป็นนักแสดงได้ดียิ่งขึ้น เพราะก่อนหน้าที่จะเข้ามาเป็นนักแสดง เราจะมีความเข้าใจว่าการแสดงก็คือการแสดง แสดงเป็นคนโน้นคนนี้ แต่พอเรามาเป็นนักแสดงจริงๆ เราก็รู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นแค่นักแสดง แต่เราเป็นตัวตนจริงๆ ของอีกคนหนึ่ง คือเรายังรู้สึกตัวอยู่ว่าเราเป็นตัวเอง แต่ว่าอีก 50% เราต้องรู้ว่าตัวละครเขาคิดนึกอย่างไร ซึ่งก็ยากครับ เพราะว่าตัวละครเรื่องนี้ค่อนข้างจะไกลตัว คือตัวละครภูผาในเรื่องตั้งแต่เกิดมามีต้นทุนชีวิตต่ำมากๆ เรียกว่าต่ำกว่า 0 เลยก็ได้ เราจึงต้องแสดงให้คนดูเห็นว่าการที่เกิดมาแล้วไม่มีต้นทุนในชีวิตเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจครับ แต่การทำงานกับพี่ชุ ชุดาภา ก็ทำให้อินได้เรียนรู้เยอะทั้งเรื่องการรับมุมกล้อง รู้จักไฟ รู้จักคิวต่างๆ รวมถึงจังหวะในการเล่น จังหวะในการพูดครับ”

ส่วนด้านการแสดงในเรื่องทองเอก หมอยา ท่าโฉลง ซึ่งแม้จะเป็นละครพีเรียดที่มีความแตกต่างจากซีรี่ย์สุภาพบุรุษ เรื่องภูผาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานสำหรับเขาสักเท่าไหร่นัก “ในการทำงานเรื่องนี้พี่ชุจะเน้นเอาอารมณ์ เอาความตลกนำครับ ก็อาจจะยากตรงนี้ เพราะเราต้องประกบพี่โอ้ พี่คิม พี่ฟรอยด์ แต่ละคนตลกมาก โดยเฉพาะพี่อ้นที่เล่นเป็นแม่เรา แล้วอินรับบทเป็นพ่อเพิ่มซึ่งเป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่ไม่ตลก คือในเรื่องเราต้องเป็นคุณชายที่เรียบร้อย ต้องรำเป็น ร้อยมาลัยเป็น ซึ่งมันยากมากเพราะถ้าพ่อเพิ่มตลก คนดูจะไม่ตลก แต่ถ้าพ่อเพิ่มไม่ตลกคนดูถึงจะตลก คือเราต้องทำตัวให้ไม่ตลก และการทำงานร่วมกับพี่คิมในเรื่องนี้ ด้วยความที่อินเล่นเป็นน้องชายต่างพ่อของพี่คิมก็เลยจะตัวติดกันตลอด อินว่าการเล่นกับพี่คิมง่ายมากครับ คืออินแทบไม่ต้องปรับอะไรเลย แล้วพี่คิมก็ใจดีเป็นกันเอง ทำให้ฉากแรกที่เล่นก็เทคเดียวผ่านเลยครับ”

ตัดภาพจากเรื่องงานมาทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้ในอีกแง่มุมหนึ่งกับบทบาทของการเป็นลูกชายคนกลางที่เติบโตขึ้นท่ามกลางพี่สาวและน้องสาว ซึ่งแม้ว่าในวัยเด็กเขาจะแสบซน จนทำให้เพื่อนคุณแม่ถึงขั้นแนะนำให้พาไปเข้าโรงเรียนประจำ แต่สุดท้ายก็สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัวอย่างทุกวันนี้ได้ “คำว่าสุภาพบุรุษสำหรับผมมองว่าอันดับแรกคือต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเองก่อน ในที่นี้ก็คือต้องเป็นคนรักดี รักที่จะได้ดี รักที่จะทำดี แล้วพอรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว เราก็จะรู้จักเสียสละ รับผิดชอบคนอื่นๆ แล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนครับ แต่กว่าจะคิดได้อย่างนี้ตอนเด็กๆ ก็แสบเอาเรื่องเหมือนกันครับ ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ตามใจ ไม่เคยดุเลย จนเพื่อนคุณแม่บอกว่าให้เอาลูกไปเข้าโรงเรียนประจำ เพราะว่านิสัยไม่ดีมาก แต่พอโตขึ้นมาสักประมาณ ม.ต้น เราก็เรียนรู้แล้วว่าพ่อแม่ใช้ความไว้ใจในการเลี้ยงลูก ไม่เคยสั่งให้ทำอะไร มันก็เลยกลายเป็นความรักดีที่เราคิดได้เองว่าความที่เขาไว้ใจไม่เคยสั่งอะไร เราก็ต้องทำให้คุ้มค่ากับการที่เขาไว้ใจเรา จึงพยายามทำตัวให้ดีขึ้น เรียนให้เก่งขึ้น ทำให้เขาภูมิใจในตัวเรา รวมไปถึงเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยด้วยครับ

พอโตมาช่วงปี 1 ปี 2 ก็หาเงินใช้เองครับ โดยการเป็นพ่อค้า เพราะอินชอบขายของ พยายามดูเทรนด์ว่าตอนนั้นอะไรขายดี เราก็หามาขาย ขายได้ก็เอาไปลงทุนต่อ เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวที่ชอบหาเงิน บวกกับเป็นคนไม่ชอบใช้เงินคนอื่น เพราะใช้แล้วไม่สนุก อย่างถ้าเป็นเงินคนอื่นเราขอมาก้อนหนึ่งมันก็มีอยู่เท่านั้น แต่ถ้าหากว่าเราหาเงินเป็น ใช้เท่าไหร่เดี๋ยวมันก็หามาได้เรื่อยๆ” นอกเหนือจากการรับผิดชอบชีวิตตัวเองแล้ว ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้านเขาจึงต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการยอมเสียสละ “อินเป็นคนเสียสละที่สุดในบ้านแล้ว อาจจะเพราะก็มีแต่พี่สาวน้องสาว ก็จะชินแล้วครับ แต่อย่างตอนเด็กๆ ก็จะมีคิดบ้างว่าทำไมต้องให้ แต่พอโตขึ้นมาเราก็เข้าใจ ซึ่งเรื่องที่คิดว่าเสียสละที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่ผมยอมเสียสละห้องนอน (หัวเราะ) คือผมได้ห้องเล็กที่สุดในบ้านแล้วเคยเป็นห้องรับแขกมาก่อนด้วย เพราะว่าพี่น้องเขาเป็นผู้หญิงเขาต้องย้ายไปห้องติดกันครับ ผมก็เลยยอมไปอยู่ห้องเล็ก” (ยิ้ม)

ไม่ใช่แค่กับคนในครอบครัวเท่านั้นที่เขายอมเสียสละให้ได้ เพราะหนุ่มคนนี้บอกกับเราว่าหากวันหนึ่งเมื่อเขามีความรักก็อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถให้ได้กับคนที่เขารัก “ผมเป็นคนเริ่มจาก 1 ไปถึง 100 ครับ ก็เหมือนกับตัวละครภูผา ที่เนื้อเรื่องดำเนินตั้งแต่ตอนเราเกิด แล้วเราก็ได้เจอกับนางเอกของเรา ตั้งแต่อายุ 15-16 ก็ดำเนินชีวิตไปถึงมหาวิทยาลัย ขึ้นไปชีวิตสตาร์ทอัพ จนวันหนึ่งที่เราประสบความสำเร็จตอนสามสิบกว่า คือเราอยากมีใครสักคนที่คอยซัพพอร์ทเรา เราซัพพอร์ทเขาได้ แล้วก็ใช้เวลาเติบโตไปด้วยกัน ใครสักคนที่เราเรียกว่าคู่ชีวิตครับ คือถ้าหากว่าเราเจอคนที่ไม่ได้มั่นใจว่าเราจะใช้เวลาไปกับเขาได้ทั้งชีวิต เราก็ไม่ได้อยากไปเริ่มให้เสียเวลา

แต่ตอนนี้ก็โสดครับ โสดมาน่าจะ 7 ปีแล้ว ซึ่งจริงๆ ผมอยากมีความรักนะ แต่ผมเป็นคนให้เวลากับตัวเองเยอะมาก แล้วก็ใช้เวลากับงานเยอะ คือแทบจะไม่มีเวลาให้ตัวเองด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามีแฟนผมก็มองว่าเป็นการเอาเปรียบ และเห็นแก่ตัว เพราะถ้าวันนี้เรายังไม่พร้อมที่จะให้เวลากับเขา ไม่พร้อมที่จะแบ่งเวลาให้เขาเต็มที่ อยู่กันไปแล้วทุกข์เปล่าๆ เลยคิดว่ารอวันหนึ่งที่ทุกอย่างลงตัวกว่านี้ แล้วเราก็ค่อยๆสนใจเรื่องนี้ก็ได้ครับ” ได้รู้อย่างนี้คงจะมีสาวๆ หลายคนแอบยิ้มดีใจอยู่แน่ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะหลังจากที่ได้พูดคุยและทำงานร่วมกัน ก็ทำให้เราได้เห็นถึงตัวตนและเสน่ห์ในตัวหนุ่มคนนี้ที่จะทำให้เขาสามารถเข้าไปนั่งในใจแฟนละครได้ไม่ยากนัก

 

ชลธิช วรรณอุบล I บรรณาธิการดิจิทัล