TOP

พลังนิวเจนฯ ‘มิว ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์’ ต้นแบบไอดอลยุคใหม่ที่ความคิดไม่ธรรมดา มาพร้อมแฟชั่นเซตสุดคูล!

POWER OF N (M) EW GEN

“เก่าไป ใหม่มา” คือความจริงที่ยังคงใช้ได้กับทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่งานในวงการบันเทิง ที่มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาอยู่เสมอ รวมถึงคลื่นลูกนี้ที่ชื่อ “มิว – ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์” ซึ่งแม้ว่าวันนี้อาจจะไม่ใช่คลื่นลูกใหม่นัก แต่ก็ยังคงเป็นคลื่นที่ต้องจับตามอง ด้วยว่าพร้อมที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ และเพียงแค่ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่เราได้มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่มมากความสามารถผู้นี้ ก็พบว่าการที่เขาสามารถมายืนอยู่ในจุดนี้ได้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะโชคชะตาเพียงอย่างเดียว หากแต่ความสามารถบวกกับความตั้งใจและไม่ยอมแพ้ ก็เป็นพลังสำคัญที่ทำให้เขามีวันนี้…

 

หากจะย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นบนเส้นทางนี้ของหนุ่มมิว คงต้องย้อนไปเมื่อเขาอายุ 18 ปี โดยหนุ่มมิวได้เริ่มต้นเล่าให้ฟังถึงงานในวงการบันเทิงว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเขา “ชีวิตในวงการบันเทิงของผมมันเริ่มจากว่าผมก็ไปเรียนพิเศษเฉย ๆ แล้วก็มีพี่โมเดลลิ่งเข้ามาติดต่อถามว่าลองมาแคสงานดูไหม ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดี แล้วไม่ใช่จะมีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ เลยตัดสินใจลองดู แล้วพอได้มาเริ่มเรียนแอคติ้ง ได้เสพผลงานในวงการบันเทิงมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เห็นอะไรหลากหลายมากขึ้น แล้วอยากที่จะมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งตอนนั้นก็เริ่มมาจากการไปแคสโฆษณาก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เล่นเอ็มวี เล่นหนังสั้น ไปรับเชิญบ้าง แล้วก็มาเล่นซีรี่ส์ จนค่อยมาทำงานเพลงครับ ซึ่งผมยังจำภาพในวันแรกที่ไปแคสโฆษณาได้อยู่เลยว่าตื่นเต้นมาก ทำอะไรไม่ถูกเลย วันนั้นเขาจะให้แนะนำตัว ถ่ายโปรไฟล์ ลองเล่นบทบาทต่าง ๆ เราก็เด๋อ ๆ สุดท้ายงานนั้นก็ได้ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ไม่ได้ถ่ายครับ เพราะพอไปเข้าซีนแล้วตัวเราสูงกว่าคนอื่นเยอะ ซึ่งเราก็ค่อนข้างเฟลนะ แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะก็ยังได้เงินอยู่ดี”

พูดจบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง ก่อนจะยอมรับว่าเคยคิดอยากจะล้มเลิกแล้วหันไปทำอย่างอื่นอยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งสำคัญที่นำพาให้เขามาถึงทุกวันนี้ได้นั้น ก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง บวกกับการมีแผนสำรองที่ทำให้เขากลับมามุ่งมั่นบนเส้นทางนี้ต่อไปได้ “ด้วยความที่ผมเรียนทางด้านวิศวะอยู่แล้ว ก็ทำให้เรามี backup plan มันทำให้สามารถทำงานตรงนี้ควบคู่ไปด้วยได้ เพราะในตอนนั้นงานในวงการบันเทิงเรายังไม่ได้เยอะมาก ก็ทำให้มีเวลาไปคิดทบทวน มีเวลาไปฝึกและทำกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่ม บวกกับว่าวงการนี้ก็มีเสน่ห์ตรงความน่าตื่นเต้น ด้วยงานที่มีความหลากหลาย เปิดโอกาสให้เราได้ทำอะไรใหม่ ๆ ทุกวัน ได้ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ และพอได้เข้ามาเต็มตัวแล้วก็แตกต่างจากที่เคยคิดไว้อยู่เล็กน้อย ตรงที่ว่าก่อนหน้านี้เราจะคิดว่าการที่จะได้เข้ามาในวงการนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเลย แต่พอได้เข้ามาแล้วกลับกลายเป็นว่าการที่เราจะอยู่ในจุดที่เรามีทุกวันนี้ได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากกว่ามาก ๆ เลย” 

 

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สุดท้ายเขาฟันฝ่าจนสามารถสร้างสรรค์หลากหลายผลงานคุณภาพที่น่าติดตาม โดยเฉพาะกับซีรี่ส์เรื่องล่าสุด ที่เขารับหน้าที่เป็นทั้งผู้แสดงนำและผู้จัดด้วยตัวเอง ”สำหรับ The Ocean Eyes ก็เป็นซีรี่ส์ที่มีการร่วมทุนกันระหว่างไทย จีน และอเมริกา โดยมีทีมงานเบื้องหลังบินตรงมาจากฮอลลีวูด ได้แก่ Henry Gilroy ที่เป็นนักเขียน Herbert Primig และ Rick McCallum โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตวแพทย์ทางทะเล 4 คน ที่มีมิชชั่นต่าง ๆ เกิดขึ้นให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ซึ่งตอนนี้ก็ถ่ายทำไปได้ 50% แล้ว และคิดว่าน่าจะได้ดูกันภายในปีนี้ครับ ส่วนงานเพลงตอนนี้ก็เพิ่งมีผลงานเพลงประกอบละครทางช่องวัน 31 ชื่อ Our Time และเร็ว ๆ นี้ ก็กำลังจะมีซิงเกิ้ลใหม่กับศิลปินต่างชาติด้วยครับ” 

จากชื่อเสียงและผลงานที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาจเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จแล้วสำหรับคนภายนอกที่มองเข้าไป แต่สำหรับตัวเขากลับไม่คิดเช่นนั้น “ความสำเร็จก็ขึ้นอยู่กับคนจะมองครับ แต่ถ้าถามผมว่าถึงเป้าหมายหรือยัง ก็ต้องบอกว่ายังครับ เพราะสำหรับผมแล้วถ้าเป็นเรื่องงานแสดงก็อยากที่จะไปถึงฮอลลีวูด และก็อยากจะได้รางวัลด้านการแสดงด้วยครับ ส่วนงานเพลงก็อยากที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ได้พบปะกับแฟน ๆ ทั่วโลกเลยครับ แต่ถึงแม้จะตั้งเป้าหมายไว้ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมใช้เป็นตัววัดความสำเร็จก็คือความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี คือถ้าเสร็จงานแล้วเรารู้สึก fulfilled หรือรู้สึกว่างานนี้เราสุดยอดมาก ๆ นั่นก็เรียกว่าสำเร็จแล้ว ซึ่งมันอาจจะเป็นความสำเร็จของแต่ละวัน แต่ในระยะยาวก็แล้วแต่เป้าหมายว่าเรา setting goal ไว้ว่าอะไรบ้าง และสุดท้ายต่อให้การมายืนอยู่ในจุดนี้ จะต้องแลกมาด้วยความทุ่มเทเวลา และชีวิตส่วนตัว แต่ผมก็ถือว่าคุ้มค่าครับ เพราะผมรู้สึกดีที่เราได้เอาสิ่งที่ชอบมาเป็นงาน ก็เลยแฮปปี้ในทุกๆ งานที่ได้ทำ แฮปปี้ที่จะได้เจอแฟน ๆ แฮปปี้ที่ได้ร่วมงานกับหลาย ๆ คน แฮปปี้ที่จะได้สร้างสรรค์งานศิลปะ และถ้าหากว่าวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้หายไปก็คงจะคิดถึงมาก ๆ เลยครับ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ดีและสนุกมาก ๆ ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแต่เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ได้มีโมเมนต์ มีความทรงจำที่ดี และถ้าต้องกลับไปเป็นคนธรรมดาอีกครั้ง ก็คงอยากที่จะหาทางเล่าเรื่องช่วงเวลาที่น่าประทับใจเหล่านี้” (ยิ้ม) 

 

ไม่ใช่แค่ความสุขและโมเมนต์ความประทับใจเท่านั้น ที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนจากความพยายาม มุ่งมั่น และตั้งใจ แต่ตลอดระยะเวลาของการเดินตามหาความฝันบนเส้นทางบันเทิงมากกว่าสิบปีนี้ ยังทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย โดยเฉพาะการมีสติ “ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมากเลยครับ แต่ที่เป็นหลักสำคัญที่ผมได้เรียนรู้คือเรื่องการมีสติ ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะงานในวงการบันเทิงเท่านั้นนะครับ แต่สติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คนเลย การที่เราสามารถจับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ การที่เรารู้เท่าทันตัวเอง มันมีส่วนช่วยในการใช้ชีวิตของเรามาก ๆ ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่รู้เลยว่าการมีสติคืออะไร คิดแค่ว่าก็คงนั่งเฉยๆ มั้ง (หัวเราะ) เคยไปเรียนแอคติ้งแล้วคุณครูบอกว่าก่อนเข้าซีนเราจะต้องมีสมาธินะ ผมก็โอเคไปยืนนิ่ง ๆ แล้วกลับมาบอกครูว่าไม่เห็นช่วยอะไรเลยครับ (หัวเราะ) แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ยากหรือซับซ้อนอะไรเลย เพียงแค่ว่าเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเราในขณะนั้น ๆ ว่าตอนนี้เราอยู่ในสถานที่แบบไหน รสสัมผัสเป็นอย่างไร ผิวสัมผัสเป็นอย่างไร มองเห็นหรือได้ยินอะไรบ้าง คืออยู่กับปัจจุบันนั่นล่ะครับ เพราะความคิดของคนเรามันเร็วมาก ๆ และมันสามารถไปถึงไหนต่อไหนได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที ทำให้เราหลุดโฟกัสได้ง่ายมาก ซึ่งการมีสติ ทำให้เราสามารถดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน กลับมาสู่ตัวเรา กลับมาสู่การทำงานจริง ๆ ว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง”

และในฐานะที่ ณ วันนี้ เขาได้ก้าวเข้ามาอยู่ใต้สปอร์ตไลต์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีใครสักคนที่มองและยึดเอาหนุ่มคนนี้เป็นแบบอย่าง โดยหากจะมองว่าเป็นต้นแบบ เขาก็คิดว่าตัวเองนั้นสามารถที่จะเป็นแบบอย่างได้ในเรื่องของการใช้ชีวิต “ต้องบอกว่าทุกคนมีข้อผิดพลาด ทุกคนเจอเรื่องราวที่หนักหนาสาหัสมาแตกต่างกันมัน ผมเองก็เช่นกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วเรายังคงเดินต่อไปบนเส้นทางที่หวังไว้ หรือเดินตามเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง มันก็คงมีสักวันที่ไปถึงได้ในที่สุด อีกทั้งก็ต้องคอยรีเช็คว่าเส้นทางไหนที่เหมาะสมกับตัวเอง ผมว่ามันมีเส้นทางนั้นอยู่แล้วครับ แต่สำหรับผมคงจะไม่ได้ใช้ใครที่ไหนเป็นต้นแบบ นอกจากตัวเอง เพราะผมมองว่าทุกคนต่างก็พบเจอเรื่องราวที่แตกต่างกันไป มีการเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือน ผ่านการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกัน พบเจอคนที่ไม่เหมือนกัน เลยรู้สึกว่าเราคงไม่สามารถเอาบทเรียนชีวิตของใครหลาย ๆ คนมาใช้กับเราได้หรอก สิ่งที่เราจะเรียนรู้ได้คือจากตัวเองนั่นแหล่ะ จากเมื่อวานของเรา จากเมื่อสิบปี ยี่สิบปีที่แล้วของเราว่าเราไปเจออะไรมาบ้าง แล้วสิ่งเหล่านั้นเราอยากที่จะเอามาเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างไร จะเปลี่ยนแปลงไหม หรือบางทีเราอาจจะไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงก็ได้”

 

ส่วนเรื่องภายนอกที่อยากเปลี่ยนแปลง ถ้าทำได้หนุ่มมากความสามารถผู้นี้ ก็อยากที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องการศึกษา เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญ “การศึกษาเป็นสิ่งที่ช่วยปลูกฝังในเรื่องของ mindset ได้ เราควรจะมีระบบการศึกษาที่ทำให้คนเรารู้จักเคารพกันมากขึ้น เพราะผมมองว่าหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น มันเกิดจากการที่เราไม่ได้เคารพซึ่งกันและกัน หรือบางทีอาจจะถึงขั้นว่าไม่ได้เคารพในตัวเองด้วย และถ้าขนาดว่าตัวเองยังไม่เคารพตัวเอง แล้วจะไปรู้จักการเคารพคนอื่นได้อย่างไร ก็เลยอยากให้มีการศึกษาที่ปลูกฝังในเรื่องนี้ครับ ส่วนถ้าเป็นภาพกว้างระดับโลก ก็คงเป็นเรื่องของประชาคมโลก หรือ Global Citizen คืออยากให้ทุกคนเข้าใจว่าถึงแม้เราจะเป็นคนในประเทศนี้ คนในเมืองนี้ คนในภูมิภาคนี้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็คือคนบนโลกเดียวกัน ที่ตอนนี้ควรจะต้องมาโฟกัสเรื่องของสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังได้แล้ว ถ้าเราอยากที่จะให้โลกสามารถมีสิ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ ก็อยากให้ทุกคนตระหนักถึง เพราะเรื่องนี้มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้แค่เพียงเพราะคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ทุกคนจะต้องช่วยกันครับ” พูดจบพร้อมกับไปนั่งประจำที่ให้ทีมงานเตรียมความพร้อมสำหรับลุคหล่ออบอุ่นในการถ่ายแฟชั่นเซ็ต และปล่อยให้เรายังคงนั่งประทับใจกับบรรยากาศการพูดคุย และความคิดที่ลึกซึ้งของหนุ่มคนนี้ต่อไป

 

MODEL: มิว – ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์

PHOTOGRAPHER: พลอยภัทร

PHOTOGRAPHER ASSISTANT: พลภัทร นรเศรษฐกานนท์

STYLIST: #styledbykn

HAIR STYLIST: @mairatchada1

MAKEUP ARTIST: @armytoast

CLOTHES: Coach ชั้น 1 สยามพารากอน โทร. 0 2129 4664, VVON SUGUNNASIL ซ.สมคิด โทร. 083 896 8959, Burberry ชั้น M สยามพารากอน โทร. 0 2610 9719, ERMENEGILDO ZEGNA ชั้น M สยามพารากอน โทร. 0 2610 9355 – 9

SHOES: Coach ชั้น 1 สยามพารากอน โทร. 0 2129 4664, Burberry ชั้น M สยามพารากอน โทร. 0 2610 9719, ERMENEGILDO ZEGNA ชั้น M สยามพารากอน โทร. 0 2610 9355 – 9

เหมือนจันทร์ ศรีสอาด